คึดฮอดเมืองลาว ๑๕
ไหว้พระธาตุอิงฮัง(ต่อ)
ศูนย์รวมศรัทธาของผู้คนสองฝั่งโขงตอนกลางนี้ คือ พระธาตุพนม เชื่อกันแต่โบราณแล้วว่า ได้เกิดมาเป็นคนชาติหนึ่งแล้ว ต้องได้ไปไหว้พระธาตุพนมสักครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อย เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิตสมกับที่ได้เกิดมา ดังนั้นในช่วงฤดูแล้งหลังการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นประเพณีไหว้พระธาตุพนมของทุกปี ถนนทุกสายที่มุ่งสู่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม จะกลายเป็นจอแจคลาคล่ำทันที ด้วยความศรัทธาที่ใหญ่หลวง ไหว้สักการพระธาตุพนมแล้วจะให้ครบบริบูรณ์เป็นสิริมงคลยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นของชีวิต ก็คือต้องได้ไหว้พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ กับพระธาตอิงฮัง สะหวันนะเขตอีกด้วย
พระธาตุพนมอยู่ฝั่งขวา ส่วนพระธาตุหลวงกับพระธาตุอิงฮังอยู่ฝั่งซ้าย ทั้งยังไกลกันคนละเขตแขวง จึงไม่ง่ายนักที่จะเดินทางข้ามโขงไปไหว้ทั้งสองแห่งในช่วงเวลาเดียวกัน ต้องวางแผนไว้ก่อนอย่างเป็นระบบ หลายคนจึงเก็บความหวังไว้ให้ครองใจก่อน ว่าจะต้องไปให้ได้ในสักวันใดวันหนึ่งแน่แท้
สำหรับพระธาตุอิงฮัง เอ่ยชื่อออกมา หลายคนอาจไม่คุ้น และไม่รู้จัก เพราะไม่มีชื่อเสียงอย่างพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ชื่อแขวงสะหวันนะเขตเองก็เป็นที่รู้จักไม่มากนักนอกจากพี่น้องป้องปลายแถบใกล้เคียงทั้งสองฝั่งที่เป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว เพิ่งจะแป็นที่รู้จักจริง ๆ ช่วงที่มีสะพานข้ามโขงทอดยาวเชื่อมลาว-ไทยมานี่เอง ผู้เขียนนั้นเคยไปไหว้พระธาตุอิงฮังมาครั้งหนึ่งแล้วตั้งแต่ยังไม่มีสะพานข้ามโขง แต่ครั้งนั้นเดินทางไปในช่วงเทศกาลที่มีผู้คนพลุกพล่าน(ส่วนมากก็ไปจากฝั่งขวา คือไทย)มากมายล้นหลาม จนไม่สะดวกในการไหว้พระธาตุ จึงได้แต่ตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาอีกที
จนกระทั่งวันเข้าพรรษาปี๕๔นี่เองจึง ได้ยกขบวนกันไปทั้งลูกหลาน และพกเพื่อนจากที่ทำงาน(สำนักพิมพ์ชมรมเด็ก)คือคุณต้อมไปด้วยอีกหนึ่งคน (สำหรับคุณต้อม ชาวกรุงผู้รู้จักอีสานและเมืองลาวเฉพาะในเรื่องราว ข่าวคราว ตำนานความแห้งแล้งกันดารในอดีต ครั้นได้มาครั้งนี้แล้วเธอก็ตกหลุมรักอีสานกับลาวทันที และเกิดมีความหวังตั้งใจไว้ว่า หากมีวันหยุดงานติดกันอีกทีจะขอไปลาวทางด้านช่องเม็กที่เราเอ่ยถึงเหมือนไปนานั้นด้วย)
แล้วเราก็เลยผ่านด่านตรวจอย่างทุลักทุเลที่ฝั่งมุกดาหาร นั่งรสบัสของลาวข้ามโขงจากฝั่งขวาสู่ฝั่งซ้ายโดยมีเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ผู้ตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งรอบข้างไปไหว้พระธาตุด้วย
แม่น้ำโขงด้านเหนือของมุกดาหารและสะหวันนะเขตกว้างใหญ่ลิบลับ สองฟากฝั่งทั้งซ้ายขวาต้นข้าวกำลังเขียวขจีตัดกับท้องฟ้าที่มีปุยเมฆขาวลอยฟ่อง
ครั้งก่อนเคยเล่าเรื่องอาณาจักรสีโคดตะบอง(ศรีโคตรบูรณ์)ใกล้เมืองท่าแขกตรงกันข้ามนครพนมในคึดฮอดเมืองลาว ๗ แล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองท่าแขกตามเส้นทางหมาย๓ของลาวเพียง๘๐กิโลเมตร ถือว่าไม่ไกลจากศูนย์ของอาณาจักรที่เอ่ยถึงนั้นเลย จึงมีร่องรอยอิทธิพลขอมอยู่เช่นกัน ที่สำคัญและเด่นชัดในสะหวันนะเขตตอนนี้ก็คือ ที่พระธาตุอิงฮัง กับปรางค์หินเก่าที่พังทลายลงมากแล้วแห่งหนึ่ง ซีงคนที่นี่เรียกว่า “เฮือนหิน” ตั้งอยู่ห่างออกไปตามลำน้ำโขงประมาณ ๗๐ กิโลเมตรจากสะหวันนะเขต โอกาสต่อไปคงจะได้ไปเยือน
วันนี้ไปไหว้พระธาตุอิงฮังกันก่อนนะคะ
อิงฮัง เป็นคำลาวสองคำผสม คือ อิง หมายถึง พิง, แอบ ฮัง หมายถึง รัง,ต้นรัง
ดังนั้น อิงฮัง ก็คือ พิงต้นรังนั่นเอง โดยได้ชิ่อมาจากตำนานพระธาตุพนม(อุรังคนิทาน)ซึ่งเป็นวรรณกรรมล้านช้าง ในยุคสมัยที่รุ่งเรือง ขยายอาณาเขตครอบพื้นที่สองฝั่งโขงตอนกลางนี้
ในตำนานอุรังคนิทานที่ว่านั้น ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ปางนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่ในเชตวันอาราม ครั้นรุ่งอรุณวันหนึ่งทรงหลิง(แลเห็นด้วยทิพย์จักษุ)เห็นว่าพระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ที่ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วนั้นล้วนมีพระธาตุไว้ ณ ดอยกปณคีรี(ที่ตั้งพระธาตุพนม)ใกล้กับเมืองสีโคตรตะบองพระองค์จึงได้เสด็จมาประทับหลาย ๆ แห่งตามที่นิทานกล่าวถึง จนรุ่งอรุณวันหนึ่งได้ทรงรับอาราธนามายังฝั่งนี้ ทรงบาตรประทับยืนคอยพระยาสุมิตธรรมเจ้าเมืองสีโคตรตะบองอยู่ ณ ใต้ต้นรัง(อิงฮัง)
พระธาตุที่สร้างขึ้น ณ บริเวณนี้ในภายหลังจึงตั้งชื่อว่า พระธาตุอิงฮัง
นั่นเป็นตำนานค่ะ
ใต้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว(ขัวมิคตะพาบไท-ลาว)แห่งที่ ๒ (เปิดใช้เมื่อต้นปี ๒๕๕๐)ที่เรานั่งรถข้ามไปนั้น แม่น้ำโขงดูกว้างใหญ่ลิบลับ สองฟากฝั่งทั้งสองเขียวขจีด้วยกำลังเขียวขจีด้วยทิวข้าว ตัดกับท้องฟ้าที่มีปุยเมฆขาวลอยฟ่อง เรานั่งสามล้อลาวไปตามถนนสู่นาดังเวียดนาม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่าง ลาว - เวียดนามมีตลาดใหญ่ในสะหวันนะเขตชื่อ ตลาดสิงคโปร์ ขากลับจะพาแวะชมกันนะคะ
ผ่านสวนไดโนเสาร์ที่มีรูปไดโนเสาร์ยืนตระหง่านริมถนน สามล้อผู้มีอัธยาศัยก็นำพาคณะของเราที่มีเด็กตัวน้อย ๆ ติดมาด้วย ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรก็เลี้ยวขวาไปอีกประมาณ ๓ กิโลเมตรก็ถึงชุมชนที่ตั้งวัดพระธาตุอิงฮัง ผู้หญิงที่นุ่งกางเกงมาต้องไปเปลี่ยนเป็นผ้าถุงในจุดที่ให้บริการ ผู้เขียนนั้นมีผ้าตราช้างสารพัดประโยชน์มาด้วยอยู่แล้วจึงใช้คลุมทับกางเกงกลมกลืนไปกับคนอื่นได้สบาย
พระธาตุอิงฮังเป็นศาสนสถานแบบขอมผสมลาวล้านช้าง เนื่องในศาสนาฮินดูวัฒนธรรมขอม แล้วถูกปรับเปลี่ยนในภายหลัง อาจเป็นเพราะช่วงบนพังทลายลงมาจึงมีการบูรณะเสริมสร้างขึ้นใหม่ให้เป็นพระธาตุเจดีย์เนื่องในพุทธศาสนา ตั้งอยู่บนลานกว้าง และมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีกำแพงสูงล้อมรอบมีประตูทางเข้าทั้งสี่ด้าน ภายในปริมณฑลจัดแบ่งเนื้อที่เป็นองค์พระธาตุอยู่ตรงกลางล้อมด้วยกำแพงแก้ว รายรอบจัดแบ่งเป็นสวนตกแต่งสวยงาม และส่วนที่เป็นศาลาโล่ง ๆ อยู่ด้านหนึ่งสำหรับผู้มาทำบุญ มีพระเสี่ยงทายและเซียมซีไว้สำหรับผู้นิยมเสี่ยงทายด้วย
องค์พระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมกว้างด้านละ ๙ เมตร สูง ๒๕ เมตร ฐานและส่วนล่างขององค์สถูปเป็นศิลปะดั้งเดิมแบบขอม ด้านบนและยอดเป็นศิลปะแบบล้านช้าง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกฐาน และพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางต่าง ๆ ในกำแพงแก้วเป็นส่วนที่ต้องห้ามไม่ให้สตรีเข้าภายใน ผู้เขียนจึงได้แต่อาศัยเจ้าขุนผู้ลูกชายเป็นตา และเป็นมือกล้องให้
รูปทรงโดยรวมแล้ว พระธาตุอิงฮังดูคล้ายกับพระธาตุแบบแผนอีสานและลาวที่เห็นอยู่ทั่วไป แต่หากพิจารณาใกล้ชิดจะเห็นความขรึมขลังและแปลกตา เห็นความผสมกลมกลืนของลาวกับขอมอย่างเด่นชัด โดยมีชั้นล่าง ๆ ประดับตกแต่งด้วยรูป ลวดลายสลักต่าง ๆ เป็นของเดิมในวัฒนธรรมฮินดูขอม รวมทั้งหินส่วนที่นำไปตกแต่งในสวนด้านข้าง ๆ ด้วย
ด้านหน้า นอกเขตหวงห้ามสำหรับผู้หญิงมีที่ตั้งกระถางธูปเทียนและดอกไม้สำหรับสักการบูชาตามธรรมเนียม ใกล้ ๆ นั้นมีฆ้องใบเขื่องแขวนโยง และมีเสียงดังโหม่ง ๆ อยู่เรื่อย ๆ ด้วยมีผู้ต้องการเสียงนี้ไปลั่นฆ้องให้เกิดเสียงโหม่ง ๆ อยู่เนือง ๆไม่ขาดสาย คล้ายอยากจะบอกไปถึงฟ้า ถึงแถน บอกถึงความศรัทธาที่มีมาต่อเนื่อง และสืบไปชั่วกาลนาน
ผู้หญิงเข้าในพระธาตุไม่ได้ ก็ลั่นฆ้องดัง ๆ ก็ได้คือกันค่ะ
๐๐๐๐