ท่องอุบลแบบคนอุบล ๙
การศึกษายุคแรกในอุบลราชธานี
โดย เอื้อยนาง
ท่องอุบลตอนนี้ขอเล่าประวัติศาสตร์การศึกษานะคะ
วัดสุปัฏนารามวรวิหาร วัดแรกเพื่อสอนอักษรสมัย ภาษาไทย และบาลีในอุบลราชธานี
ย้อนหลังไปดูประวัติศาสตร์อุบลราชธานี ตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ หลังจากหลบหนีภัยไล่ล่าจากราชสำนักเวียงจันทน์ ไปหลายแห่งจนสูญเสียบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ พระวอ พระตา ผู้นำพาลูกหลานเป็นสายธารซึมซ่านพงไพรไปแล้ว เจ้าคำผง(พระประทุมสุรราช)ได้สืบหน่อแทนแนวอันห้าวหาญ ด้วยจิตวิญญาณแห่งความรักอิสระก็ได้พาลูกหลาน ว่านเครือ ที่เหลือจากเวียงดอนกองชายนครจำปาศักดิ์มาตั้งอยู่ดอนมดแดง ขยับสู่บ้านท่าบ่อ บ้านห้วยแจระแม(ประมาณ พ.ศ.๒๓๒๑) ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระเจ้ากรุงธนบุรี และต่อมาก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์เจ้าเมือง ยกบ้านห้วยแจระแมเป็นเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทศราช เป็นช่วงต้น ๆ ที่เปลี่ยนเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ การปกครองยุคแรกตั้งอุบลราชธานียังใช้จารีตการปกครองแบบล้านช้าง คือ มีตำแหน่งสูงสุด ๔ ตำแหน่ง ได้แก่ เจ้าเมือง อุปฮาด(อุปราช) ราชบุตร ราชวงศ์ ซึ่งล้วนเป็นลูกหลานเชื้อสายจากพระวอ พระตา
จากห้วยแจระแมขยับขยายเข้าดงอู่ผึ้ง บุกเบิกถากถางตั้งบ้านเรือน เรือกสวน ไร่ นา ไม่กี่ปีอุบลราชธานีก็สร้างเนื้อสร้างตัวเติบโตมั่นคงขึ้นทุกด้านทั้งการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนาและการศึกษา
ในด้านการศึกษานั้นเจริญควบคู่กับด้านการศาสนา เมื่อลงหลักปักฐาน ก่อร่าง สร้างบ้าน แปลงเมือง ก็รวมเอาวัดวาอารามเป็นสถานที่สำคัญที่ต้องก่อสร้างไปพร้อมกัน ซึ่งนายช่าง และพระสงฆ์องค์เจ้าก็ล้วนสืบทอดจากล้านช้างเวียงจันทน์ จำปาศักดิ์มาด้วยกัน วัดหลวงซึ่งเป็นวัดแรกของอุบลราชธานี ที่เจ้าคำผงพ่อเมืองคนแรกนำพาการก่อสร้างนั้นมีโบสถ์เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านช้างผุดขึ้นอย่างสง่างาม ณ ริมฝั่งแม่น้ำมูล แล้ววัดอื่น ๆ ก็ผุดพรายขึ้นเหมือนดอกบัวสีสดสวยชูก้านเบ่งบานท่ามกลางใบสีเขียวของดงอู่ผึ้ง เป็นที่พึ่งทางใจให้ความสงบสุขร่มเย็นหลังการถูกไล่ล่ามาเกือบกึ่งศตวรรษ เป็นแหล่งเรียนรู้ฝึกและสอนกุลบุตร กุลธิดา ของประชาชาวเมืองแห่งดงอู่ผึ้ง กุลบุตรนั้นนอกจากจะได้เรียนรู้พระธรรมคำสอนด้านศาสนา ภาษาไทน้อย ไทขอมแล้วยังได้ฝึกฝนด้านงานช่าง งานฝีมือ ฮูปแต้ม เขียนสี ลงรักปิดทอง สับลายหยวกกล้วย และอื่น ๆ ไปด้วย ส่วนกุลธิดาได้เรียนรู้ขนบ จริยะธรรมจรรยา ตลอดงานฝีมือ แต่งขันห้า ขันแปด ประดิดประดอยเพื่อการเคารพและบูชา จากผู้เฒ่าเหล่าญาติโยมในวัดไปด้วย(ขัน-พาน)
ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามจารีตล้านช้าง แม้การหัดเรียนเขียนอ่านก็เรียนภาษาลาว ภาษาบาลีด้วยตัวอักษรไทน้อย(ลาว) และอักษรขอม
และด้วยความสัมพันธ์กับทางราชสำนักกรุงเทพฯ ทำให้มีพระภิกษุจากอุบลราชธานีได้รับการศึกษาจากสำนักในวัดที่กรุงเทพฯโดยตรงกลับมาเผยแพร่ในอุบลราชธานีช่วงต้น ๆ ที่เป็นที่รู้จักคือ ท่านเจ้าคุณพระอริยะวงศาจารย์(สุ้ย)วัดทุ่งศรีเมืองซึ่งได้รับการศึกษาจากสำนักวัดสระเกศ
แต่โรงเรียนแห่งแรก ตั้งขึ้นที่วัดสุปัฏนารามวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดในนิกายธรรมยุตวัดแรกของอุบลราชธานีและอีสานด้วย นับเป็นวัดแรกที่ตั้งเป็นโรงเรียนสอนภาษาบาลีและภาษาไทย อักษรไทยในอุบลราชธานีเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๓๙๖ - ๒๔๐๔ (เริ่มสร้างวัด๒๓๙๓สมัยพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ เจ้าเมืองคนที่ ๓ ของอุบลราชธานี (๒๓๘๘-๒๔๐๖) โดยมีบุคคลสำคัญจัดการด้านการเรียนการสอน คือ ท่านพันธุโล(ดี)เจ้าอาวาส และท่านเทวธัมมี(ม้าว)รองเจ้าอาวาส พร้อมกับท่านสมฺปนฺโน(ก่ำ)ซึ่งเป็นชาวเมืองโขง(สีทันดร)ซึ่งต่างเป็นสัทธิวิหาริกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับการศึกษามาจากวัดสำนักวัดบวรนิเวศน์วิหาร มาด้วยกัน (ต่อมาท่านสมฺปนฺโน ได้ไปตั้งวัดที่เมืองโขงบ้านเกิด) ช่วยกันสั่งสอนกุลบุตรอุบลราชธานีในเวลานั้นจนมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น ทั้งลูกเจ้าบ้าน หลานเจ้าเมือง ตลอดจนลูกกรมการเมือง ลูกพ่อค้าคหบดีและประชาชนทั่วไปจึงมีการขยับขยายออกไป จากวัดสุปัฏนารามวรวิหาร ก็มีการสร้างวัดธรรมยุตในอุบลราชธานีขึ้นอีก เป็นลำดับคือ วัดสีทอง(วัดอุบลศรีรัตนาราม) วัดสุทัศน์ และวัดไชยมงคล
เมื่อวัดธรรมยุตตั้งมั่นในอุบลราชธานีแล้วนั้น พระสงฆ์ในอุบลราชธานีจึงมี ๓ ลัทธิคือ “พระคองลาว” เป็นพระที่ยึดตามแบบเดิมจากล้านช้าง “พระคองไทย” เป็นสายท่านเจ้าคุณพระอริยะวงศาจารย์(สุ้ย)ที่รับมากจากรุงเทพมหานครก่อนตั้งวัดสุปัฏนาราม ส่วนพระธรรมยุตเรียก “พระคองมอญ” (คอง-ครรลอง ...ผู้เขียน)
ในปีพ.ศ.๒๔๓๙ พระญาณรักขิต(ต่อมาคือพระอุบาลีคุณูปมาจารย์-จันทร์ สิริจนฺโท)ได้มอบหมายให้มหาอ้วน ติสฺโส(สมเด็จพระมหาวีระวงศ์) และคณะรวบรวมอุปกรณ์การศึกษาจากกรุงเทพมหานครมาเพื่อจัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่วัดสุปัฏนารามอย่างเป็นทางการ ชื่อ “โรงเรียนอุบลวิทยาคม” สอนทั้งพระเณรและคฤหัสถ์ชายในภาษาบาลี ภาษาไทย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานทรัพย์จำนวน ๑๐ ชั่งเป็นทุนใช้จ่ายในการเรียนการสอน เมื่อมีนักเรียนมากขึ้นโรงเรียนคับแคบจึงได้ย้ายไปตั้งที่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทุ่งศรีเมือง (บริเวณที่ตั้งโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานีในปัจจุบัน) ได้นามว่า “โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลอุบลราชธานี เบ็ญจะมะมหาราช” เป็นโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังแรกและมีการย้ายออกไปอีกสองแห่งกระทั่งมาเป็นโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชอุบลราชธานีในปัจจุบันซึ่งเป็นสหศึกษา
โรงเรียนสำหรับกุลธิดาในอุบลราชธานีแห่งแรกเริ่มเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๘ โดยนางจงราชกิจ(หนู ศิริโสถติ์)ได้จัดตั้งขึ้นที่บ้านของท่าน จึงถูกเรียกกันทั่วไปว่าโรงเรียนแม่หนู
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๓ พระญาณรักขิต(พระอุบาลีคุณูปมาจารย์)เจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานีได้ตั้งชื่อโรงเรียนแห่งนี้ว่า “นารีนุกูล” โรงเรียนนี้ได้ตั้งหลักฐานมั่นคงขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ณ บริเวณบ้านเหนือ และย้ายอีกครั้งไปตั้งด้านทิศตะวันออกของทุ่งศรีเมือง จนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๕ ได้สร้างอาคารเรียนแห่งใหม่ขึ้น ณ สถานที่ในปัจจุบันและจัดการศึกษาแบบสหศึกษา
ด้านการศึกษาของอุบลราชธานีนอกจากทางวัดพุทธศาสนา และทางราชการได้จัดขึ้นหลายแห่งแล้วยังมีเอกชน และบาทหลวงในคริสต์ศาสนาจัดตั้งโรงเรียนสอนกุลบุตรกุลสตรีอุบลราชธานีเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ในปีพ.ศ.๒๔๒๔ คณะบาทหลวงคาทอลิก นำโดยหลวงพ่อโปรดอมม์(กงสตองซ์ ฌอง บัปติสต์ โปรดอมม์-Constant Jean Baptiste Prodhomme)มาถึงอุบลราชธานี เจ้าเมืองขณะนั้น(พระพรหมเทวานุเคราะห์)จัดให้เข้าพักในจวนข้าหลวง ต่อมาจึงย้ายเข้าอยู่ในบริเวณบ้านบุงกะแทว(บุ่งกาแซว) ได้สร้างบ้านพักเด็กกำพร้า และที่สอนหนังสือเด็กกำพร้าขึ้นด้วย เป็นจุดเริ่มต้นของโรงเรียนอาเวมารีอา และได้ตั้งอย่างเป็นทางการในพ.ศ.๒๔๙๐ ครั้นพ.ศ.๒๔๙๒ ได้รับอนุญาตให้เปิดสอนระดับชั้นมูลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ นับเป็นโรงเรียนคาทอลิกแห่งแรกในอุบลราชธานีซึ่งต่อมาก็มีเพิ่มอีกหลายแห่ง
สำหรับโรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนราษฎร์ในอุบลราชธานี ในยุคแรกได้มีผู้ก่อตั้งขึ้น เช่น
โรงเรียนมัธยมวัดศรีทอง ตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ โดยรองอำมาตย์ตรีทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ใช้สถานที่ในวัดศรีทอง(ปัจจุบัน คือ วัดศรีอุบลรัตนาราม)เป็นเวลา ๑๐ ปีจึงย้ายไปตั้งที่ถนนศรีณรงค์ ต่อมาภายหลังได้รวมกับโรงเรียนวิไลวัฒนา
สำหรับสถานที่ในวัดศรีทองนี้นายฟองสิทธิธรรมได้ตั้ง โรงเรียนเทพอำนวยวิทยาลัย ขึ้นในเวลาต่อมาก็ย้ายไปอยู่ถนนชยางกูร เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนสิทธิธรรมศาสตร์ศิลป์ ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ตั้งวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โรงเรียนวิไลวัฒนา โดยเจ้าศรีรัฐ ณ จำปาศักดิ์ เป็นเจ้าของและผุ้จัดการ ตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ.๒๔๘๐ ในบริเวณบ้านพักของท่าน ถนนพิชิตรังสรรค์ มีเจ้านางวิไลพรรณ ณ จำปาศักดิ์ เป็นครูใหญ่ ดำเนินมาจนหลังสงครามอินโดจีน ไทยได้จำปาศักดิ์คืน จากฝรั่งเศส เจ้าศรีรัฐ ณ จำปาศักดิ์ได้รับแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอโพนทอง จังหวัดจำปาศักดิ์ โรงเรียนจึงย้ายไปอยู่ ณ วังสงัด ซึ่งเป็นที่ประทับเดิมของพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอุบลราชธานี พ.ศ.๒๔๓๖-๒๔๕๑ ต่อมาโรงเเรียนนี้ได้ย้ายไปอยู่สถานที่แห่งใหม่รวมกับโรงเรียนศรีทองวิทยา ชื่อใหม่ว่า โรงเรียนศรีทองวิไลวิทยา
ยังมีโรงเรียนอีกหลายแห่งที่ตั้งขึ้นในยุคแรก ๆ ของอุบลราชธานีที่เปิดสอนระดับประถมและมัธยมศึกษาก่อนจะตั้งโรงเรียนฝึกหัดครู ซึ่งต่อมาคือวิทยาลัยครูอุบลราชธานีสถานศึกษาที่ครอบครัวเรา นับจากพ่อ(เรียนโรงเรียนฝึกหัดครู) เอื้อยนาง และน้องทั้งสองได้ร่ำเรียนความเป็นครูมาค่ะ
๐๐๐