วงการสื่อ
โดย "นิรกาย"
กรณีคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยสภาการหนังสือพิมพ์พิจารณาการส่งอีเมล์ของนักการเมือง ระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ของสื่อค่ายมติชน-ข่าวสด จนสื่อค่ายดังกล่าวออกมาแถลงการณ์ “ไม่ยอมรับผลการสอบสวน” ดังกล่าวย่อมทำให้เกิดความสับสนในหมู่นักข่าว ผู้บริหารข่าว นายทุนผู้ลงทุนในกิจการข่าว นิสิต-นักศึกษาวิชาการสื่อสารมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจและคนทั่วไปว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดฝ่ายเป็นฝ่ายถูกกันแน่
ก่อนอื่นต้องเข้าใจให้ถูกเสียก่อนว่า ความขัดแย้งของ 2 องค์กรดังกล่าว “แยกไม่ออก” จากความขัดแย้งระหว่าง “กลุ่มผลประโยชน์” “เหลือง” กับ “กลุ่มผลประโยชน์” “แดง” ที่ช่วงชิง “อำนาจรัฐ” กันด้วยรูปแบบและวิธีการต่างๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดย“ทั้งคู่” นอกจากจะตั้งองค์กร “สื่อสาร” ขึ้นมาเป็น “เครื่องมือ” ในการ “โจมตี” ฝ่ายตรงข้ามและ“สร้างความชอบธรรมทางการเมือง” ให้กับฝ่ายตนแล้ว ยังเข้าไป “แทรกแซง” “โน้มน้าว” และบังคับทิศทางข่าวผ่านทาง “บรรณาธิการข่าว” “หัวหน้าข่าว” “ ผู้สื่อข่าว” “นายทุนข่าว” ด้วยกัน 4 วิธีการคือ
1.โน้มน้าวด้วยความเห็นที่สอดคล้องกัน ความเห็นดังกล่าวไม่จำเป็นว่าจะถูกหรือผิด เป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
2.ถูกโน้มน้าวโดย “ผลประโยชน์” แบ่งเป็น
2.1 ผลประโยชน์ที่ให้กับปัจเจกบุคคลคือ จ่าย“เงิน” “สิ่งของมีค่า” “สัญญาว่าจะให้” กับบุคลที่อยู่ในวงการสื่อ โดยมีฝ่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งเคยเป็นอดีตนักข่าว นักข่าวหรือผู้ใกล้ชิด นักข่าว เป็นผู้รับมาให้อีกทอดหนึ่งก็ได้ “ผู้รับ” อาจจะเป็น “นักข่าว” “หัวหน้าข่าว” หรือ “นายทุน” ก็ได้ ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ “ประเด็นข่าว” ใช้ “การพาดหัวข่าว” เพื่อ “ทำลาย” คู่แข่งทางการเมืองที่แยบยล วิธีการ “บรรยายภาพข่าวเอง” ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการบิดเบือนได้
2..2 ซื้อทั้ง “องค์กร” ด้วยการ “ให้” “โฆษณา” “ให้โอกาส” เข้าไปทำธุรกิจอื่นทำนอง “ผลประโยชน์ต่างตอบแทน”
3.ตั้ง “องค์กรจัด” “นอกวงการสื่อ” มา “จับจ้องมองสื่อ” เพื่อ “บังคับแนว” สื่อไปเป็นเครื่องมือฝ่ายตรงข้าม
4.ใช้องค์กรจัดตั้ง “ในวงการสื่อ” เองมา “ตีกรอบ” “บังคับทิศทาง “สื่อ” ที่ไม่ได้อยู่ในแนว (วิธีแบบนี้เผด็จการใช้กับองค์กรวิชาชีพอื่นๆด้วย)
เป็นที่น่าจับตาว่า การ “ซื้อ” แบบยก “องค์กร” นั้นไม่ได้รับการใส่ใจอย่าง“เอาเป็นเอาตาย” แบบเดียวกับการ “ซื้อสื่อ” เป็นรายบุคคล ทั้งๆที่การซื้อสื่อยกองค์กรนั้นส่งผลต่อการทำร้ายประชาชนที่มากกว่า
มีคำถามว่า “สื่อ” เข้าไปเป็น “กระบอกเสียง” ให้ฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงนั้นผิดหรือไม่?
คำตอบคือทั้งผิดและไม่ผิด ไม่ผิดเพราะเป็นเอกสิทธิ์ของสื่อนั้นๆที่จะเป็นเครื่องมือของ “กลุ่มผลประโยชน์” ใดก็ได้เช่นเดียวกับการเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พระ ซึ่งเป็นอาชีพ (Interest) หนึ่งหนึ่งในสังคมทุนนิยม
ผิดเพราะไปเป็นกระบอกเสียงให้กับขบวนเผด็จการเหลือง-แดง หรือไปส่งเสริมให้อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อยมากดขี่ปวงชน
ถามว่าสื่อต้องเป็นกลางระหว่างเหลือง-แดงหรือไม่?
ความ“เป็นกลาง” หรือ “ความไม่เป็นกลาง” ไม่มี มีแต่ความถูกกับความผิด
การเสนอข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อขบวนการทางการเมืองผิด (เผด็จการกับเผด็จการ) จึงไม่มีประโยชน์อะไรต่อประชาชน ถามว่าสื่อเสนอข่าวให้โจรกับการเสนอข่าวให้ขโมยด้วยปริมาณข่าวอย่างละเท่าๆกัน เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือ?
สื่อมีแต่ต้องยืนอยู่หลักการ “ถูก” เท่านั้นจึงจะยังประโยชน์ให้แก่มหาชน จะยืนอยู่บนหลักการผิดไม่ได้เลย
หลักการถูกคือหลักการที่ยืนอยู่บนผลประโยชน์ประชาชน หลักการผิดคือหลักการที่ยืนอยู่บนผลประโยชน์คนส่วนน้อย ผลประโยชน์ประชาชนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนแล้วเท่านั้น ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของ “คนส่วนน้อย” (เผด็จการ) จะไม่นำมาซึ่งผลประโยชน์ของประชาชนเลย
ด้วยเหตุนี้ สื่อที่ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของขบวนการเหลืองหรือขบวนการแดงแม้เป็น “สิทธิ์” แต่ก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะทั้งคู่เป็นขบวนเผด็จการ
การที่อนุกรรมการที่ตั้งโดยสภาการหนังสือพิมพ์จะใช้การนับข่าวมาตัดสินมติชน-ข่าวสดจึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควร ไม่ว่าจะใช้อะไรมาตีความ และฝ่ายที่ต้องถูกตำหนิก็คือสภาการหนังสือพิมพ์ที่เอาพวกที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์มาตัดสิน การดึงดันในคำตัดสินแบบข้างๆคูๆอาจจะถูกเข้าใจไปได้ว่าสภาการหนังสือพิมพ์กำลังจะเป็นเครื่องมือของเผด็จการฝ่ายหนึ่งมาจัดการกับเผด็จการอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ต้องทบทวนตัวเอง ตรวจสอบจริยธรรมของตัวเองก่อนที่จะพิจารณาจริยธรรมของคนอื่น
พูดถึงคณะอนุกรรมการที่สมาพันธ์ตั้งมาด้วยแล้ว ผมนึกถึงคณะกรรมการที่ตั้งมาพิจารณาการฆาตกรรมหมู่ที่มีคุณ
ความพ่ายแพ้ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เกิดจากการนำเสนอข่าว รูปของมติชน-ข่าวสด ความพ่ายแพ้ทั้งหลายทั้งปวงของพรรค ล้วนเกิดจาก “สนิมจากเนื้อในตน” คือคุณลักษณะเผด็จการของพรรคประชาธิปัตย์เองในท่ามกลางสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงต่างหาก
ในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงนั้น พรรคเผด็จการใดก็ตามที่ขึ้นมาเป็นพรรคปกครอง ย่อมถูกประชาชนวิกฤติศรัทธาต่อพรรคไม่ยอมรับให้ปกครองของพรรคเสมอไป และวันใดวันหนึ่งที่สบโอกาส เจ้าของประเทศก็จะลุกขึ้นมาโค่นพรรคเผด็จการลง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด “เดินขบวนขับไล่” “ใช้อาวุธ” หรือใช้ “การเลือกตั้ง” มาพิพากษา
รำไม่ดีอย่าโทษปี่โทษกลอง
เพราะรำไม่ดีต่างหากที่ “หมูไม่กิน”
ผู้ประกาศข่าวสถานีเอเอสทีวีบอกว่าเมื่อประมาณ 8.00 น. เช้าวันอังคารที่ผ่านมาว่า “การคุกคามสื่อ” คือ “การคุกคามประชาชน” ผมเรียนถามว่าการ “คุกคามสื่อ” ของพวก “ก่อการร้าย” เป็นการคุกคามประชาชนหรือการช่วยประชาชน
“การคุกคามสื่อ” ที่เป็น “กระบอกเสียงเผด็จการ” เป็นการ “คุกคามเผด็จการ” ไม่ใช่การ “คุกคามประชาชน” การ “คุกคาม” “สื่อประชาชน” ต่างหากที่เป็นการ “คุกคามประชาชน”
ปัญหาว่าคุณแยกเผด็จการกับประชาธิปไตยเป็นหรือเปล่า ที่ต่างเรียกร้องประชาธิปไตยกันทุกฝ่ายนั่นน่ะ เรียกร้องเผด็จการกันทั้งนั้น