การประหารชีวิตโดยการตัดหัว
โดยป่าน ศรนารายณ์ เรื่อง-ภาพ-FWmail
การประหารชีวิตผู้กระทำผิด หรือผู้ที่อยู่ต่างพวกพ้อง หรือศัตรูผู้เป็นอริราชศัตรู หรือการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันฉันใดๆ นับแต่อดีตกาลที่ผ่านมาหลายยุคสมัย โดยเฉพาะในราชอาณาจักรสุโขทัย พระนครศรีอยุธยาราชธานี กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งถ้าเป็นสามัญชน ข้ารัฐการ ก็ใช้การฟันคอด้วยดาบจนตาย และถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ก็จะใส่กระสอบแล้วใช้ท่อนจันทน์ทุบจนตาย
เจ้าหน้าที่จากส่วนราชการเป็นสักขีพยาน
ว่ากันว่า ความหฤโหดของการประหารชีวิตในอดีตนั้นมีมากมายหลายวิธีการ ฟังเรื่องเล่าแล้วสยดสยองจนไม่กล้านำมาเล่าโดยละเอียด พอดีได้รับภาพมาจากการส่งต่อ เห็นว่าเป็นภาพเก่าแก่และมีเรื่องราวที่ควรรู้เพื่อประดับภูมิ จดจำก็ได้ ไม่จดจำก็ดี เพราะว่าภาพที่เห็นนั้นน่าหวาดเสียวจริง และน่ากลัวด้วยละ
เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ เมื่อนักโทษถูกตัดสินว่าผิด ให้ประหารชีวิตตายตกไปตามกันนั้น ท่านให้เอาไปขังไว้เพื่อรอการดำเนินขั้นตอนตามกำหนด ได้แก่ มีการพิมพ์ลายมือ ถ่ายรูป และชี้ตัวโดยโจทย์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อป้องกันการเปลี่ยนตัว ขั้นตอนต่างๆจะดำเนินการจนแล้วเสร็จก่อนวันเสาร์ ซึ่งนิยมประหารกันวันนี้
นักโทษพนมมือรอการตัดคอ
ก่อนส่งเข้าแท่นประหาร หลวงจะนิมนต์พระจากวัดบางแคนอกมาเทศนาธรรมเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้รำลึกถึงบาปบุญคุณโทษ มีการเซ่นไหว้ด้วยเทียนธูปดอกไม้ เหล้า เป็ดไก่รวมแล้ว 16 บาท ตลอดจนค่าเพชฌฆาตดาบหนึ่ง 50 บาท และเพชฌฆาตดาบสอง 30 บาท ค่าใช้จ่ายเหล่าหลวงจ่ายให้ วัดที่เคยประหารก็เช่น วัดมักกะสัน วัดพระภาษี เมืองพระปะแดง ต่อมาย้ายมาวัดโบสถ์ ฝั่งสมุทรปราการ แต่ไม่ว่าจะไปประหารกันที่วัดไหน ชาวบ้านก็รังเกียจเพราะว่ากลัว
การประหารชีวิต เจ้าเมืองหรือผู้รับผิดชอบต้องมาตรวจดู ว่าเป็นนักโทษจริงหรือไม่ เมื่อนำนักโทษนั่งพนมมือที่แท่นประหาร เพชฌฆาตดาบหนึ่งและดาบสองจะร่ายรำไปรอบๆ ระหว่างนั้นจะมีการบรรเลงเพลงด้วยเสียงของปี่ เสียงช่างโหยหวลชวนสยองยิ่ง เมื่อได้เวลาที่เหมาะสมเพชฌฆาตดาบหนึ่งก็จะลงมือบั่นคอจนหัวขาดกระเด็น เลือดพุ่งกระฉูดจากก้านคอ นึกภาพก็หวาดเสียว
เพชฌฆาตรำดาบ
แต่ถ้าเพชฌฆาตดาบหนึ่งพลาดฟันคอไม่ขาดหรือนักโทษไม่ตาย เพชฌฆาตดาบสองจะรี่เข้าไปฟันซ้ำจนตาย เจ้าหน้าที่จะเข้ามาตรวจสอบว่าตายจริงหรือไม่ เพื่อลงนามรับรองบันทึกการประหาร ญาติจะนำศพไปจัดการต่อตามประเพณี ในบรรดาการประหารชีวิตด้วยการฟันคอเช่นนี้ นักโทษส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีเพียงหนึ่งหญิงเท่านั้น คืออีทองเลื่อน ข้อหาหักคอเด็กหญิงเพื่อแย่งมรดกของสามี ระหว่างคุมขังอีทองเลื่อนท้องแก่ จึงขอประกันตัวเพื่อออกมาคลอดบุตร แล้วก็ส่งเข้าแท่นประหารตายตกไปตามกัน
ปีพ.ศ.2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ตราพระราชบัญญัติ กฎหมายอาญา จึงให้ยกเลิกการประหารชีวิตด้วยการฟันคอ แต่ให้ใช้วิธียิงเป้าแทน ภาพที่เห็นนี้จึงเป็นอดีตหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชนเผ่าสยาม แม้ว่าจะไม่มีใครอยากจดจำ แต่รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามมิใช่หรือ
ตรวจสอบว่าตายสนิทหรือไม่