ในคมขวาน๔
หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย หนองคาย
ตำนาน พระพุทธรูปลาวที่ไม่อยากไปอยู่กรุงเทพ
“สาวภูไท” เรื่อง-ภาพ
ในรัชสมัยแห่งพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้างเวียงจันทน์ พระราชอาณาจักรลาวล้านช้าง รุ่งเรือง แผ่ไพศาลครอบคลุมสองฝั่งโขง ทรงเป็นรัชทายาทและเป็นกษัตริย์ปกครองทั้งล้านนา และล้านช้าง เป็นทั้งนักรบ นักปกครอง และทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนาอย่างมาก ซึ่งส่งผลถึงคนในราชสำนักด้วย
อย่างเช่น พระธิดาของพระองค์ทั้ง ๓ ที่เป็นพี่น้องร่วมอุทรนามว่า เจ้านางสุก เจ้านางเสริม และเจ้านาง
มีเรื่องเล่าเชิงอภินิหาร ในระหว่างการหลอมทองหล่อพระพุทธรูปทั้งสามองค์ว่า ขณะตั้งเตาหลอมตามกระบวนการนั้น ได้มีพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสช่วยกันสูบลมเป่าไฟเร่งความร้อนในเตา เพื่อให้อุณหภูมิสูงเท่าที่จะสามารถหลอมทองให้ละลายได้ แต่...หนึ่งวันผ่านไป สองวัน...กระทั่งถึงเจ็ดวัน ที่ต่างช่วยกันขมีขมันทองนั้นก็ยังไม่ละลาย ช่างน่าแปลก และในวันที่แปดนั่นเอง ขณะนั้นมีเพียงพระภิกษุรูปหนึ่ง กับเณรน้อย ช่วยกันสูบลมใส่เตาอยู่ ญาติโยมทั้งหลายที่มาช่วยกันต่างนั่งพักอยู่ในศาลา
จนได้เวลาฉันเพลพระภิกษุกับเณรน้อยจึงหยุดพัก ขณะนั้นได้ปรากฏมีชีปะขาวตนหนึ่ง เดินมาขออาสาทำหน้าที่สูบลมเป่าไฟแทน พระภิกษุกับเณรน้อยจึงไปฉันเพล
“ตาปะขาวคนหนึ่งเขามาอาสาช่วยสูบเตาน่ะ”
พระภิกษุบอกญาติโยมพลางชี้มือไปที่เตาหลอม แต่ผู้คนทั้งหลาย ณ ที่นั้นครั้นมองไป กลับได้เห็นว่ามีคนนุ่งขาวห่มขาวอย่างที่เรียกตาปะขาวมากมาย หลายคน ช่วยกัน อยู่อย่างขมีขมันทั้ง ๆ ที่พระกับเณรน้อยผู้เพิ่งวางมือจากกระบอกสูบมาหยก ๆ ยืนยันว่า มีคนเดียว แต่สายตาของคนทั้งหลายก็แลเห็นว่ามีตาปะขาวมากมาย
“มีคนเดียวที่ไหน นั่นตาปะขาวตั้งมากมายรุมล้อมเตาอยู่นั่น” ญาติโยมต่างแปลกใจ และยิ่งแปลกใจยิ่งขึ้น เมื่อพระกับเณรฉันเพลเสร็จจึงไปดูกัน ปรากฏว่าที่นั่นว่างเปล่า ไม่มีตาปะขาว หรือแม้แต่เงาของตาปะขาว
“ดูนี่ซีทองละลายแล้ว”
แม้ไม่มีตาปะขาวให้เห็นแต่ทองคำในหม้อบนเตาก็หลอมละลาย กลายเป็นของเหลวให้เทลงหล่อพระพุทธรูปกันได้สมใจ เสร็จสิ้นพิธีการได้พระพุทธรูปงดงาม ๓องค์ ขนาดลดหลั่นเช่นพี่น้อง
แล้วเจ้านางทั้งสามจึงให้นามพระพุทธรูปตามนามแห่งตน คือ พระสุก พระเสริม พระใส ตามลำดับ และประดิษฐานอยู่เวียงจันทน์เป็นเวลาหลายปี
ต่อมาราชอาณาจักรลาวเกิดความไม่สงบสุข มีสงครามแย่งชิงบ่อย ๆ ครั้นเกิดเหตุคราใดชาวเมืองก็จะนำของมีค่าไปซุกซ่อนเพื่อความปลอดภัย พระพุทธรูปทั้งสามก็เช่นกัน ถูกนำออกไปไว้นอกเมืองเวียงจันทน์ ครั้นบ้านเมืองสงบร่มเย็นก็อัญเชิญกลับมา จนกระทั่งราชอาณาจักรลาวถูกสยามเข้ายึดครอง พระพุทธรูปทั้งสามองค์ถูกนำไปซ่อนยังภูเขาควายต้นลำน้ำงึมอันไหลลงสู่แม่น้ำโขง
ต่อมาเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ซึ่งถูกนำมาเลี้ยงในราชสำนักสยาม(กรุงเทพฯ)คิดกอบกู้บ้านเมืองลาวของตนกลับคืน ให้เป็นประเทศอิสระเหมือนเดิม แต่ถูกปราบราบคาบ และถูกหาว่าเป็นกบฏ(ต่อสยาม)อันเป็นข้อหาธรรมดาระหว่างผู้ชนะที่จะเรียกผู้แพ้เพื่อชำระโทษให้สาสม
ด้วยความร่วมมือจากบางส่วนของหัวเมืองลาวเองและเขมร เวียงจันทน์ก็ป่นปี้ สิ่งของมีค่ารวมทั้งผู้คน ย่อมถูกเก็บกวาดเอาตามใจผู้ชนะ พระสุก พระเสริม พระใส ถูกอัญเชิญลงมาในแพไม้ไผ่ ตามลำน้ำงึมสู่แม่น้ำโขง เพื่อจะข้ามมาหนองคาย
แต่...ครั้นถึงวังน้ำวนในแม่น้ำโขง ก็เกิดปาฏิหาริย์มีพายุฟ้าคะนองฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่แพพระสุก จนแพแตกจมลงในวังน้ำลึก รวมทั้งองค์พระสุก ไม่สามารถงมเอากลับขึ้นมาได้จนปัจจุบัน พระท่านยังคงจมอยู่ใต้น้ำ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า “เวินพระ” หรือ “เวินสุก” สืบมา มีเพียงพระเสริม กับพระใสเท่านั้นข้ามฝั่งมาถึงหนองคายได้ พระเสริมประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสถูกอัญเชิญไปวัดหอกลอง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณในปัจจุบัน
พระพุทธรูปทั้งสองที่เหลือมาได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านชาวเมืองทั้งสองฝั่งโขง เพราะจริง ๆ แล้วต่างเป็นคนเชื้อสายลาวด้วยกัน ต่างมีความเคารพศรัทธากราบไหว้และเรียกพระพุทธรูปนี้ว่า หลวงพ่อพระเสริม กับ หลวงพ่อพระใส
ครั้นต่อมาในช่วงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯให้อัญเชิญพระพุทธรูปจากหนองคาย คือ หลวงพ่อพระเสริม กับหลวงพ่อพระใสไปยังกรุงเทพฯ
ในสมัยนั้นก็จะเดินทางด้วยเกวียน จึงอัญเชิญหลวงพ่อพระใสใส่เกวียนบรรทุกมาบรรจบกันกับหลวงพ่อพระเสริมที่วัดโพธิ์ชัย เพื่อจัดขบวนออกเดินทางพร้อมกัน แต่ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกวียนของหลวงพ่อพระใสมาถึงวัดโพธิ์ชัย เกิดติดหล่ม เพลาหัก ต้องทำการเปลี่ยน แต่เสร็จแล้วก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ แม้จะระดมคนมากมายมาช่วยกันก็ไม่สำเร็จ ยิ่งช่วยกันดันช่วยกันยกในที่สุดเกวียนนั้นก็หักลง ครั้นหาเกวียนคันใหม่มาก็ซ้ำรอยเดิม คนทั้งหลายในที่นั้นเห็นเป็นอัศจรรย์จึงหันหน้ามาปรึกษากัน
“หรือว่าหลวงพ่อพระใสท่านไม่อยากไปกรุงเทพ”
ในที่สุดก็ตกลงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากหลวงพ่อท่านไม่อยากไปกรุงเทพฯ แต่อยากอยู่ที่นี่ก็ขอให้ยกขึ้นด้วยเถิด ก็ปรากฏว่าอธิษฐานเสร็จใช้คนไม่กี่คนก็ยกเกวียนขึ้นได้
เห็นดังนั้นแล้วผู้คนทั้งหลายจึงตกลงนำพระหลวงพ่อพระเสริมไปกรุงเทพฯเพียงองค์เดียว ส่วนหลวงพ่อพระใสอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิชัยนั่นเอง
ปัจจุบันหลวงพ่อพระสุกจมอยู่ใต้น้ำโขง
หลวงพ่อพระเสริมอยู่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร
หลวงพ่อพระใสยังเป็นศูนย์กลางรวมจิตใจของคนสองฝั่งโขง ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองหนองคาย ประดิษฐานอยู่ ณ วัดโพธิ์ชัย(พระอารามหลวง) อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในวันสำคัญ หรือเทศกาลทางศาสนาจะมีผู้คนเดินทางหลั่งไหลมากราบไหว้เนืองแน่น
หลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านช้าง ขนาดหน้าตัก ๒ คืบ ๘ นิ้ว สูง ๔ คืบ ๑ นิ้ว ลักษณะงดงามมาก หล่อด้วยทองสีสุก(สำริดที่มีส่วนผสมหลักเป็นทองคำ)
๐๐๐๐๐