http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 07/08/2024
สถิติผู้เข้าชม14,276,734
Page Views16,603,350
« September 2024»
SMTWTFS
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930     
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

กิ่งคำปายกับยายทวด 18 ดอกไม้เอยเจ้าดวงจำปา โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ

กิ่งคำปายกับยายทวด 18 ดอกไม้เอยเจ้าดวงจำปา โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ

กิ่งคำปายกับยายทวด 

๑๘.ดอกไม้เอยเจ้าดวงจำปา

“เอื้อยนาง”

              ลานวัดริมฝั่งแม่น้ำโขง  ที่เคยโล่งเตียนสะอาดสะอ้านด้วยการเอาใจใส่ของพระ เณรอยู่เป็นกิจวัตรนั้น   วันนี้กลายเป็นที่ตั้งปะรำพิธีชั่วคราว  ประดับระดาด้วยดอกไม้ ต้นไม้ กล้วย  อ้อย ระย้าระย้อยห้อยแขวน

            ดอกการะเกด และจำปาลาวที่เคยบานพราวอยู่ริมกำแพง ถูกเด็ดมากองร้อยเป็นสร้อยสาย ระบาย ระไบ ระย้าย้อย  ราวจะหยาดหยด ประดับประดาสถานที่และขันหมากเบ็ง  ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วทั้งนครริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณพิธี

 

“มาเย้อขวัญเอย....

ขวัญมาแล้ว มาอยู่กับแก้วดวงใจ

 มารับเอาชัยเอาโชค

 ก่อนออกโบยบินถิ่นไกล

 เดินทางไปต่างบ้านต่างเมือง

 

            เสียงหมอเฒ่าสวดมนต์ ประสานรับด้วยเสียงของผู้คนที่มาร่วมในพิธีสู่ขวัญอวยชัยให้พร  ก่อนการออกเดินทางของไพร่พลแห่งจำปาศักดิ์นครดังก้องสองฝั่งแม่น้ำโขง

            เมื่อหมอเฒ่าผู้ทำพิธีสวดมนต์จบลง ฝ้ายสายสิญจน์จากพานบายศรีถูกนำมาผูกข้อต่อมือให้ผู้ที่จะเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมืองพร้อมเสียงอวยชัยให้พร

 

          “ผูกเบื้องซ้ายขวัญมา ผูกเบื้องขวาขวัญอยู่เน้อ  ขวัญเอ้ย...”

          “ไปอยู่เมืองไท เมืองไกล เมืองล่างเจ้าก็อย่าห่างเนื้อห่างตัวเจ้าเน้อ”

 

          ฝ้ายสายสิญจน์ที่ผูกรัดบนข้อมือของแต่ละคน ผู้จะจากไปนี้  จะเป็นเหมือนสายโซ่ผูกพันแทนใจ  ผูกใยแห่งความรัก  ความห่วงหา อาทร และปรารถนาดีของผู้อยู่หลัง ที่ให้ไว้แก่กัน

          พิธีอวยชัยสั่งลาจบลง  แถวเกวียนยาวเหยียดเริ่มเคลื่อนย้าย ผู้โดยสารทั้งหลายที่จะเดินทางไปกับกองเกวียนตัดใจสั่งลากันเป็นครั้งสุดท้าย

          วัวหนุ่มคู่งามแข็งแรง ปราดเปรียว และแสนรู้คู่นั้นชื่อ คูนมั่ง กับ คูนมี เป็นวัวคู่บ้านคู่เมืองของจำปานครก็ว่าได้ เพราะเจ้าปู่เป็นเจ้าเมืองมักใช้มันเทียมเกวียนยามออกเดินทางไกลเสมอ

          แต่วันนี้คูนมั่ง คูนมีถูกนำมาเข้าเทียมเกวียนที่มีประทุนถักสานด้วยหวายครอบลงเหมือนกระดองเต่า  ม่านแพรไหวพลิ้วระพวงมาลัยดอกไม้ที่ประดับประดาระย้าย้อยอยู่หน้าประทุน

          คนขับเกวียนเป็นชายวัยกลางคนคนเดิมที่เคยรับใช้ใกล้ชิดเจ้าปู่ แต่วันนี้เขาแต่งตัวทันสมัยทะมัดทะแมงกว่าเคย  ด้วยกางเกงขายาว และเชิ้ตสีกากีแบบชาวตะวันตก ที่เรียกกันว่ากางเกงหรั่ง หรือผ้าทรงหรั่ง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เผยแพร่เข้าสู่อุบลราชธานีและนครจำปาศักดิ์ในช่วงต้น ๆ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ เพราะวันนี้เขาจะต้องพาเกวียนและผู้โดยสารคนสำคัญไปให้ถึงเมืองอุบล ที่เคยได้ชื่อว่าดงอู่ผึ้ง  อันทันสมัยที่สุดในแถบถิ่นแผ่นดินลาวอย่างปลอดภัย  ตามที่ได้รับมอบหมาย  และความไว้วางใจจากผู้เป็นนายที่เขาเคารพเหมือนพ่อ

           ผู้โดยสารเป็นสองสาววัยไล่เลี่ยกัน มี หน้าตา ผิวพรรณผ่องผุด งามล้ำอรชรก้ำกึ่งกัน ยามไปไหน ๆ เคียงคู่กันจึงมักถูกเรียกเป็น “งัวงามคู่” เสมอ คำปลิว กับคำพัน สองสาวลูกพี่ลูกน้องเป็นที่ปลาบปลื้มของเจ้าปู่เจ้าย่า และวงศ์วานเครือเสมอมา โดยเฉพาะหญิงชราผู้เป็นย่าที่ประคับประคองเลี้ยงสองเจ้านางน้อย ให้เติบใหญ่เคียงคู่กันมา ตั้งแต่แบเบาะจนเติบใหญ่เข้าวัยสาว สวยสะพรั่งดั่งดอกจำปาลาวที่เบ่งบานรับแสงตะวัน

           ย่ารัก ย่าหวงสองเจ้าดั่งดวงใจ  แต่วันนี้ย่ากลับส่งดวงใจทั้งสองไปกับกองเกวียน ที่บรรทุกสิ่งของมีค่า  ผ้าผ่อน  แพรวา ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง และไพร่พล ทั้งหลายจากจำปาศักดิ์ไปเยี่ยมคารวะ แสดงความจงรักภักดี ต่อเจ้าใหม่ไทล่างในอุบลราชธานีศูนย์กลางของมณฑลลาวกาว

           สองสาวเป็นความหวังของเจ้าปู่เจ้าย่า  และ ญาติวงศ์พงศา  เช่นเดียวกับหนุ่มสาวอื่น ๆ อีกหลายคนที่ออกเดินทางไปในขบวนเดียวกัน  ต่างมีความหวังว่าจะได้ชุบชีวิตใหม่ในเมืองแห่งดงอู่ผึ้งเมืองนั้น   เพราะอุบลราชธานีคือดินแดนแห่งความหวังใหม่ในยุคที่แม่โขงกลายเป็นเส้นแบ่งแยกลาวเป็นสองฝั่งสองเจ้านี้

           หีบหวายบรรจุข้าวของเครื่องใช้ประจำตัว เสื้อผ้า แพรวา ไหมเงิน ไหมคำ ฝ้ายขิด และซิ่นหมี่ฝีมือของชาวหอคำจำปาศักดิ์ถูกขนขึ้นเกวียนอีกลำหนึ่ง  ส่วนสองสาวขึ้นนั่งในเกวียนลำที่มีเจ้าคูนมั่ง  คูนมีเป็นผู้ลากดินกรุ๋งกริ๋งออกนำหน้า

          “โชคดีมีชัย ไปดีมีสุขเถิดหนาคำพัน คำปลิว”

           นั่นเป็นคำอวยพรสั่งลาครั้งสุดท้ายของทุกคนชาวหอคำแห่งนครจำปาศักดิ์อันเก่าแก่ที่นับวันจะมีแต่โรยรา ความเจริญรุดหน้าพัฒนาแบบใหม่ แบบเมืองไทย เมืองเทศในภูมิภาคนี้ได้หยั่งรากฝังดินในอุบลราชธานีแล้ว เรียกให้ผู้คนทั้งแดนถิ่นใกล้ไกลหลั่งไหลไปสู่เหมือนแมงเม่าบินเข้าไประเริงในกองไฟ

          “ไปดีเถิดไปอยู่เมืองอุบล ไปเป็นคนฝั่งมูล”

          เสียงใครหลายคนตะโกนสั่งอยู่ข้างทางเมื่อขบวนเกวียนเริ่มเคลื่อนที่ผ่าน

          เสียงเกวียนออดแอด ประสานเสียงกระดึงกรุ๋งกริ๋งจากคอวัวยามล้อเริ่มเคลื่อนย้าย เกวียนมากมายหลายลำติดตามกันเป็นทิวแถวยาวเหยียด ออกจากวัดใจกลางนครจำปาศักดิ์อันเป็นบริเวณที่ทำพิธีสู่ขวัญอวยชัยให้พรก่อนสั่งลา ผ่านซุ้มประตูที่ประดับประดาด้วยข้าวตอกดอกไม้  ไปตามทางเกวียนเลียบฝั่งขวาของแม่น้ำโขงสู่ทุ่งโล่ง ผ่านไร่นามุ่งหน้าสู่แนวภูที่มองเห็นเขียวครึ้มลิบ ๆ ข้างหน้า หลังเทือกเขาที่สลับซับซ้อนนั้นเข้าไปคือบ้านด่าน ช่องเม็ก เขตแดนแห่งลุ่มน้ำมูล

          ชาวประชาแห่งจำปานครราชทั้งหลายออกมายืนส่งมากมายอยู่สองข้างทางเกวียน   หลายคนหน้าเปื้อนน้ำตาแห่งความอาลัย  เกวียนหลายลำเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ต่างเก็บมามอบให้แทนใจ  ที่ส่งไปพร้อมกับความหวัง อุบลราชธานีศูนย์กลางแห่งมณฑลลาวกาว  คือความหวังอันเรืองรองของกุลบุตรกุลธิดา  ที่ต้องการความก้าวหน้า หลายคนบนเกวียนเดินทางสู่อุบลราชธานีด้วยดวงใจเบิกบาน

           เจ้าคำปลิวสาวน้อยหน้าแฉล้มขึ้นนั่งในเกวียนที่มีคูนมั่ง กับคูนมี วัวคู่งามลากเดินออกจากที่อย่างมั่งคง สง่างาม มาลัยดอกไม้หลากหลายสีอันมีจำปาลาว มะลิลา การะเกดห้อยเป็นพวงระย้าย้อยหน้าประทุนทรงกระดองเต่า ส่งกลิ่นหอมกรุ่นละมุน

   

         จำปาลาว และดอกไม้อื่น ๆ ที่ผูกด้วยสายสิญจน์ติดไว้กับหมอนมงคล วางข้างอยู่ท้ายเกวียนด้านหัวนอน เป็นหมอนและดอกไม้ในพิธีเพื่อสิริมงคลที่เพิ่งเสร็จสิ้นก่อนขึ้นเกวียน เป็นเสมือนตัวแทนจากเจ้าย่า เจ้าปู่  ที่ติดตามไปให้ความอบอุ่น แม้อยู่ต่างบ้านต่างเมือง

         ในประทุนเกวียนจึงอวลอบด้วยกลิ่นกรุ่นของความรัก  ในเกวียนที่สารถีแต่งตัวทันสมัยสมกับจะไปเมืองหลวงแห่งมณฑลลาวกาว ในเกวียนที่พี่สาวลูกพี่ลูกน้องนั่งไปด้วยกัน ด้วยความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ มีความหวังใหม่วาววามในสีหน้าและดวงตา 

          แต่...ทว่า คำปลิวสาวน้อยกลับมีแต่ความร้อนรุ่ม พะวักพะวน ปั่นป่วนใจพยายามชะเง้อชะแง้ สอดส่ายสายตาหาใครบางคน ที่คิดว่าจะปรากฏให้เห็นปะปนอยู่กับฝูงชนที่มาส่งเรียงรายอยู่ข้างทางเกวียน  แต่กลับไม่มีแม้เงาของเขา

         ผู้โดยสารอีกคนตื่นเต้น เบิกบาน เหมือนดอกไม้แรกแย้มได้รับความชุมชื้นจากหยดน้ำค้าง แต่สาวเจ้าคำปลิวกลับแอบเช็ดน้ำตา

        “ลาก่อนนะ ปีหน้าฟ้าใหม่แล้วจะกลับมาเยี่ยม” เจ้านางคำพันผู้เป็นพี่สาวโผล่หน้าเปื้อนยิ้มออกไปสั่งลาผู้คน บ้านเมือง วัดวา สวนดอกไม้ และแม่น้ำโขง ลาแม้กระทั่งดอกบัวที่แย้มบานในบึงน้ำใสสองข้างทางเกวียน และฝูงนกที่บินถลาร่อนหากินตามริมบึง

         ห่างซุ้มประตูดอกไม้ และแม่น้ำโขงออกมาลิบ ๆ จนมองไม่เห็นอีกแล้วนั่นแหละคำพันเจ้าจึงหันมาใส่ใจผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาว

        “อ้าว..เอ๊ะ...เจ้าร้องไห้หรือคำปลิว”

         ผู้ถูกถามหันข้างให้ ใช้ชายสไบแพรซับหางตา ก่อนหันมาฝืนยิ้ม

        “เจ้าอย่าหวั่นใจไปเลยนะคำปลิว” เธอปลอบโยนพลางลูบหลังลูบไหล่ราวกับคำปลิวคือเด็กตัวเล็ก ๆ  ที่น่าสงสาร  ด้วยเข้าใจว่าเจ้านางน้อยผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวมีความอาลัยบ้านเคยอยู่อู่เคยนอน และคงหวาดหวั่นไม่มั่นใจในถิ่นที่อยู่ใหม่ข้างหน้า

        “เจ้ายังมีพี่ มีลุงสากับป้าสายและข้าไทของเจ้าปู่เจ้าย่าอีกหลายคนในเกวียนลำหลัง ๆ ที่จะไปอยู่ดูแลเราในเมืองอุบล”

คำปลิวฝืนยิ้มขอบใจ กล้ำกลืนก้อนแข็งที่ขึ้นมาจุกในอกลงอย่างลำบาก  ใครจะรู้บ้างหนอว่าน้ำตาที่หลั่งไหล หาใช่ความหวาดหวั่นในอันตรายของตัวเองไม่

         ใคร ๆ ก็รู้ว่าอุบลราชธานีเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับชาวจำปาศักดิ์อยู่แล้ว สองเมืองเคยเคียงบ่าเคียงไหล่ ขับไล่ศัตรูร่วมกันมาแต่โบราณ ศึกเหนือเสือใต้มารังควาญก็พึ่งพาอาศัยร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้เสมอมา เจ้าผู้ครองสองเมืองล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อสายลายลาวด้วยกัน “ต่างก็มาจากผีตัวเดียวกัน” นั่นคือคำสอนของบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดต่อกันมาเพื่อย้ำบอกให้รู้ว่า ทุกคนมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน สองนครใหญ่แห่งลาวกาวเคยขัดข้องหมองใจกันอยู่บ้างแต่ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว  แล้วประสานกันได้แน่นดังเดิม แม้เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือ เจ้าใหม่เข้ามาครอบครอง พี่น้องสองเมืองก็ยังพึ่งพาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว

           อุปถัมภ์ค้ำจุนกันปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ระบบเจ้าใหม่ นำพาบ้านเมืองชาวประชาให้รอดพ้นจากภัยสงคราม ญาติพี่น้องของเจ้าปู่เจ้าย่ายังมีมากมายเป็นปึกแผ่นมั่นคงในเมืองอุบลดงอู่ผึ้ง อย่าว่าแต่แม่ของคำปลิวเองก็อยู่  ณ  ที่นั้นด้วย

            แต่ที่ทำให้สาวน้อยผู้เข้มแข็งอย่างคำปลิวต้องแอบเช็ดน้ำตานั้นเป็นเพราะใจตัวเองต่างหาก ที่สับสนวุ่นวายห่วงหน้าพะวงหลัง

           “ไปอยู่เมืองอุบล ไปเป็นคนไทคนเทศ อีกไม่นานเจ้าคงลืมข้าคนป่าคนดง เจ้าคงลืมแม่น้ำโขงที่ไหลโค้งอ้อมภูจอมเกล้า ที่เราเคยลงล่องเล่นด้วยกัน” ยังจำน้ำเสียง สีหน้า และแววตาที่ร้าวรานนั้นได้ติดตาติดใจ ทำให้ขัดข้องหมองหม่น พะวักพะวนตลอดเวลา ตั้งแต่วันที่พรากจากลากันในพงไพรกลางภูจอมเกล้า จนถึงวันที่กองเกวียนเริ่มเคลื่อนย้าย ยังไม่เคยลืมเลือน

“ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไรบุญอุ้ม ข้าจะลืมแม่น้ำโขง และหอคำในจำปาศักดิ์ที่เคยรุ่งเรือง อบอุ่น คุ้นเคยได้อย่างไร”

           “มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละบุญอุ้มที่คงลืมข้า ไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็น ไม่มีแม้คำสั่งลาสักคำ”

           ตัดพ้อในใจ แต่ครั้นนึกได้ว่าอาจบางทีเพราะภาระใหญ่หลวง ทำให้เขาปลีกตัวมาไม่ได้ เจ้าคำปลิวกลับร้อนรุ่มห่วงใยขึ้นมาแทน และได้แต่กล้ำกลืน ก้มหน้าเช็ดน้ำตา

 

โขงเอย แม่โขงไหลล่อง

แสงจันทร์ฉายส่อง น้องอ้ายลอยเรือ

น้องสาวเจ้าถือไม้พาย ฟังสิอ้ายเป่าแคน.....

แล่น  แล่น  แตร...แคนแล่น  แล่น  แตร

 

            เสียงแคน เสียงลำทำนองล่องโขงดังลอยอ้อยอิ่งมาจากเกวียนบางลำที่นำหน้า           ประสานกับเสียงออดแอดของล้อเลื่อนที่เคลื่อนไปบนหนทางที่เริ่มขรุขระวกวน เพราะเข้าสู่เขตภูเขาต้องเลาะเลียบอ้อมโค้งวกวนตามหุบต่ำตีนผา ผ่าช่องวังเต่า มุ่งเข้าช่องสะเม็ก เจ้าคำปลิวเอนกายลงนอนฟังเสียงลำแคน

           ตะวันจวนจะลับฟ้า กองเกวียนได้เวลาหยุดพัก เมื่อมาถึงพลาญหินกว้างใหญ่กลางป่าในหุบเขา เกวียนจอดเรียงราย ทุกเล่มต่อลำกันเป็นวงกลมวงใหญ่อ้อมล้อมลานหินที่มีกองขี้เถ้าและร่องรอยเตาไฟ อันบ่นบอกหมายถึงว่ามันเคยเป็นที่พักแรมของนักเดินทาง

           ผู้คนบนเกวียนส่งเสียงสรวญเสเอะอะขณะลงมาช่วยกันจัดที่พักแรม บ้างไปเก็บผักหักฟืน เริ่มก่อไฟหุงหาอาหาร บ้างลงไปที่ลำธารตักน้ำริมท่าขึ้นมาอาบกิน รีบเร่งช่วยกันก่อนตะวันจะตกดิน

           ไฟกองใหญ่ลุกโพลงให้ทั้งความอบอุ่น และแสงสว่างเรืองแก่กองเกวียน ทั้งยังเป็นการขับไล่ป้องกันสัตว์ป่า สัตว์ร้ายประดามี และภูตผีปีศาจ เมื่อฟ้าเริ่มมืด เสียงสัตว์ป่าพวก หมาจิ้งจอก หมาในเริ่มเห่าหอนอยู่ในดงทึบที่ล้อมรอบพลาญหิน ต้องพากันจัดเวรอยู่ยาม ผู้หญิงและเด็กห้ามออกนอกวงเกวียนใกล้กองไฟ

           กินข้าวกินปลากันอิ่มหนำแล้วต่างจับกลุ่มกันนั่งพักผ่อนกินหมากดูดยา เล่าเรื่องราว ข่าวคราวสู่กันฟัง สาว ๆ หนุ่ม ๆ เล่นเกมหยอกล้ออยู่อีกกลุ่มหนึ่งต่างหาก แต่คำปลิวกลับแยกตัวเข้าที่พัก

           เสียงคนผู้ทำหน้าที่อยู่เวรยามเดินย่ำผ่านไปเมื่อคำปลิวล้มตัวลงนอน กลุ่มเจ้าของวัวยังคงคุยกันอยู่ข้างกองไฟ เจ้านางคำพันผู้เป็นพี่สาวและเพื่อน ๆ กลุ่มหนุ่มสาวอื่น ๆ ยังคงส่งเสียงหัวเราะกันซิกซี้

           ใครบางคนหยิบแคนขึ้นมาเป่าเสียงดังแจ๋น ๆ แล่น ๆ แตร ๆ  จังหวะอ้อยอิ่ง

           ในท่ามกลางความแปลกเปลี่ยวกลางดงไพรอย่างนี้ ดูเหมือนทุกคนไม่อยากหลับใหล จึงพยายามจับกลุ่มพูดคุยกันสรวญเฮฮาด้วยเรื่องสัพเพเหระ เพื่อปลุกตัวเองและเพื่อนพ้องให้ตื่นอยู่ได้นานที่สุด จึงมีคนนั่ง คนนอนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ข้างกองไฟ

            ดึกแล้วดาวช้างเคลื่อนคล้อย เสียงแคนขาดหาย เสียงพูดคุยค่อย ๆ เบาลงจนในที่สุดทุกอย่างก็เงียบลง ที่ไม่ได้ทำหน้าที่อยู่เวรยามต่างทยอยขึ้นบนเกวียน หลายคนหลับใหลอยู่ข้างกองไฟนั่นเอง แต่เจ้านางน้อยคำปลิวผู้เข้านอนก่อนใครกลับยังคงลืมตาโพลงฟังเสียงแห่งพงไพร นกกลางคืนกรีดเสียงแหลมสูงแคว๊ก ๆ ฟังคล้ายคนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด  ผู้เฒ่าเล่าว่ามันเป็นนกแห่งผีป่า ผีโพรง ที่ท่องอยู่ตามดงหนาป่าลึกคอยเรียกเอาวิญญาณผู้คน

            ชะนีกู่ร้องดังแว่วมาจากป่าลึกสูง

            มันเป็นนางชะนีตัวที่กู่ร้องที่ภูจอมเกล้าโน้นหรือเปล่าหนอ เป็นตัวเดียวกับที่บุญอุ้มเคยชี้ชวนให้ฟังกระมัง แต่ภูจอมเกล้านั้นอยู่ห่างไกลออกไปมากนัก มีภูเขาอีกหลายลูกเรียงสลับลดหลั่นขวางกั้นไว้ นางชะนีที่ส่งเสียงนี้จึงน่าจะเป็นคนละตัวกัน พวกมันต่างร่ำร้องด้วยทำนองเสียงที่เหมือน ๆ กันตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์แห่งมัน

            ทันใดนั้นเสียงนกแจนแวนดังแทรกขึ้นท่ามกลางเสียงแห่งพงไพร สาวเจ้าคำปลิวผุดลุกขึ้นนั่งเงี่ยหูฟัง

            ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้านกแจนแวนมันไม่มาส่งเสียงผิดเวลาอย่างนี้หรอก และมันก็ไม่ร้องเป็นจังหวะอย่างนั้นแน่ นอกจาก......

            ใช่แล้วคำปลิวจำได้มั่น  เสียงนั้นคือสัญญาณจากคนที่คำปลิวคิดถึงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง และเสียงนั้นมีพลังเรียกร้องก้องดังในส่วนลึกของห้วงดวงใจ

            ในที่สุดเจ้านางคำปลิวหลานเจ้าปู่แห่งจำปานครก็ค่อย ๆ สลัดผ้าห่มนวมออกจากตัว คว้าผ้าแพรวาขึ้นมามัดหัว เดินย่องออกจากที่นอนอย่างเงียบกริบ

            ไฟในกองเริ่มราแสง ในท่ามกลางความสลัวรางแห่งยามราตรีในพงไพรที่มีแต่ดวงดาวอยู่ปลายฟ้า คำปลิวก้าวเดินพาตัวเล็ดลอดหลบออกจากกองคาราวาน มุ่งไปตามเสียงร้องของนกแจนแวน

**************

 

 

Tags : กิ่งคำปายกับยายทวด17

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view