ในคมขวาน ๕
อัปสรา เสด็จมาอยู่บ้านระแงง
“สาวภูไท”
อัปสรา หรือ อัปสร หมายถึงนางฟ้า แต่ในความหมายนี้ไม่ใช่นางฟ้าอย่างที่เป็นแม่ทูนหัวของนางซินเดอเรลล่าในนิทานปรัมปราของฝรั่ง หากนางอัปราที่พูดถึงนี้สถิตอยู่ ณ ประตูปราสาทหินบ้านระแงง หรือที่รู้จักกันในปัจจุบัน คือ ปราสาทหินศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
นางอัปสรา(อับ-ปะ-สะ-รา)สององค์นี้เป็นภาพสลักหินทรายสีนวลฝีมือประณีตแบบชั้นครูของเมืองพระนคร นางดูอ่อนช้อยละมุนละไม ใบหน้านั้นดูคล้ายจะยิ้มอยู่น้อย ๆ ด้วยความสุขที่ได้ยืนต้อนรับใคร ๆ ที่จะก้าวย่างเข้าสู่ปราสาทหินศีขรภูมิที่นางทั้งสองสถิตอยู่ชั่วกาลนานเป็นพันปีแล้ว หากนับตามอายุของปราสาทที่สร้างในราวปีพ.ศ. ๑๕๕๐-๑๗๐๐(ศิลปะขอมแบบปาปวนผสมกับแบบเมืองพระนคร)
เป็นที่ทราบกันดีว่า ดินแดนแห่งที่ราบสูงโคราชมีผู้คนอาศัยสืบเนื่องอยู่มายาวนาน และครั้งหนึ่งเคยมีราชอาณาจักรเจนละ แผ่ขยายอิทธิพลครอบคลุมลุ่มน้ำมูลและน้ำโขงก่อนสมัยเมืองพระนคร ซึ่งมีหลักฐานเป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุมากมายสืบเนื่องจนถึงยุคสมัยเมืองพระนครรุ่งเรืองที่ยังเหลืออยู่เป็นร่องรอยแห่งอารยะธรรมให้เห็นถึงปัจจุบัน ดินแดนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นถิ่นของชาวเขมรสูง คู่กับเขมรต่ำทางอีกฟากฝั่งหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรักอันเป็นที่ตั้งแห่งเมืองพระนครที่ยิ่งใหญ่
นางอัปสรารูปสลักจากหินทรายมีดาษดื่นที่นครวัด ว่ากันว่ามีที่นครวัดมีผู้นับได้ถึง ๑,๖๐๐ กว่านาง แต่กลับมีไม่มากนักในแถบเขมรสูง โดยเฉพาะลักษณะสวยงามสมบูรณ์ ประทับยืนอยู่หน้าประตูปราสาทอย่างนี้คงมีแต่ที่ปราสาทศีขรภูมิแห่งเดียว
ปราสาทศีขรภูมิ เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูไศวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด สร้างด้วยอิฐ หินทราย และศิลาแลง ประกอบด้วยปรางค์(ปราสาท)ก่อด้วยอิฐ ๕ องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง ๒๕ เมตร โดยมีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง และปรางค์บริวารล้อมรอบทั้งสี่ทิศ เสา กรอบประตู และทับหลังทำด้วยหินทรายสลักลวดลายสวยงามโดยเฉพาะทับหลังขององค์ประธานเป็นรูปสลักศิวนาฏราชบนแท่นที่มีหงส์แบก ๓ ตัว เหนือเกียรติมุข นางอัปสราทั้งสองยืนถือดอกบัวอยู่สองข้างประตูใต้ลงมานี่เอง
กำเนิดนางอัปสรานั้นมีในคัมภีร์ปุราณะยุคมหากาพย์ของอินเดีย กล่าวถึงเทวดากับอสูรได้ตกลงร่วมแรงร่วมใจและร่วมมือกันสร้างน้ำอมฤตขึ้นมาโดยทำพิธี “กวนเกษียรสมุทร” มีพระนารายณ์เป็นผู้ควบคุมการประกอบพิธีดังกล่าว
น้ำอมฤตที่ได้จากพิธีนี้ใครได้ดื่มแล้วจะเป็นอมตะ ไม่รู้จักตาย ดังนั้นทั้งเทพ และอสูรจึงสามัคคีกันทำพิธีเป็นอันดี หวังว่าจะกลายเป็นอมตะกันทั้งหมด กรรมวิธีนี้ต้องใช้พญานาควาสุกรี(เป็นนาคห้าเศียร)มารัดพันภูเขาพระสุเมรุ โดยใช้ลำตัวพญานาครัดพันไว้ ส่วนด้านหัวกับหางที่ทอดยาวออกไปให้เทวดากับอสูรยืนอยู่คนละด้านดึงกันไปกันมาหมุนแกนเขาพระสุเมรุซึ่งกลายเป็นดั่งไม้คนอยู่กลางมหาสมุทรให้น้ำวนไปวนมา กว่าจะกลายเป็นน้ำอมฤตก็คงจะเหนื่อยไปตาม ๆ กันละ ทั้งผู้หมุนและผู้เป็นไม้คน แต่ก็คุ้มที่ได้น้ำทิพย์มาดื่มให้เป็นอมตะ
เสียดายฝ่ายเทวดาเล่นไม่ซื่อ เมื่อเสร็จพิธีได้น้ำทิพย์ดั่งตั้งใจกันแล้วเทวดากลับให้เล่ห์ความฉลาดดื่มน้ำทิพย์แต่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมแบ่งอสูร บรรดาเทพเทวดาทั้งหลายจึงเป็นอมตะกัน และเมื่อเกิดทะเลาะกันกับเหล่าอสูร ก็สามารถขับไล่อสูรลงจากสรวงสวรรค์ โธ่...เทวดา
ในระหว่างพิธี ที่เขาพระสุเมรกวนน้ำเป็นวังวนนั้นก็เกิดฟองคลื่นก่อตัวเป็นริ้ว ๆ พลิ้วขึ้นมาเป็นร่างนางอัปสราแสนสวยผุดพรายขึ้นมา นับเป็นผลพลอยได้ที่มหัศจรรย์ และอัปสราองค์แรกเลยก็คือ พระนางลักษมี ผู้ซึ่งได้เป็นพระชายาของพระนารายณ์ในกาลต่อมานั่นเอง
และอัปสราทั้งหลายก็คล้ายเป็นของขวัญของเหล่าเทพ หามีใจให้อสูรใด ๆ ไม่ อัปสราในศิลปะขอมนั้นหากนางไม่ยืนอย่างสองนางที่ปราสาทบ้านระแงงนี้ก็มีอีกแบบเป็นลักษณะที่กำลังเคลื่อนไหว อยู่ในท่าร่ายรำ หรือไม่ก็เหาะเหินเดินอากาศ เธอจะสวยงามเย้ายวนอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการของช่างผู้บรรจงสลักเสลาเธอขึ้นมาด้วยความภาคเพียรละ เป็นความงามที่เกิดจากศรัทธาและจินตนาการแห่งยุคสมัย
หลายร้อยปีแล้วที่นางอัปสราคู่หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูปราสาทบ้านระแงงแห่งนี้ หลายร้อยปี หรือเป็นพันปีที่ใบหน้าจากจินตนาการของผู้สรรสร้างยังคงอมยิ้มเอียงไปคนละข้างราวกับจะเชื้อเชิญและอวยชัยให้ผู้ที่จะผ่านเข้าสู่ประตูปราสาทด้วยคารวะ
ครั้งหนึ่งประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ปราสาทศีขรภูมิเคยถูกปรับเปลี่ยนเป็นวัดทางพระพุทธศาสนา(มีหลักฐานเป็นจารึกอักษรธรรม) แต่ปัจจุบันกรมศิลปากรได้บูรณะฟื้นฟูและขึ้นทะเบียนเบียนเป็นโบราณสถานให้เป็นที่ภาคภูมิใจของท้องถิ่นเขมรสูงอีกแห่งหนึ่งในจำนวนมากมายที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน
หากเดินทางผ่านแถบนั้นอย่าลืมแวะเยือนนะคะ อำเภอศีขรภูมิเป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ หากไปทางรถไฟก็ลงที่สถานีศีขรภูมิซึ่งไม่ไกลจากตัวปราสาทนัก ถามใคร ๆ ก็รู้จักกันทั้งนั้น หากไปทางรถยนต์ก็จะอยู่บนเส้นทางสายสุรินทร์-ศีรสะเกษ
นางอัปสราแห่งบ้านระแงงยังยืนอยู่คอยผู้คนมาเยือนยลค่ะ
๐๐๐๐๐