ในคมขวาน๖
ในบาราย แห่งปราสาทบ้านเบญจ์
“สาวภูไท”
“ปลา...ได้แล้วตัวหนึ่ง”
เสียงร้องอย่างตื่นเต้นของเด็กชายวัยประถมต้นดังขึ้นให้ได้ยิน ขณะฉันก้าวลงจากรถในบริเวณปราสาทหินบ้านเบญจ์ อันเป็นบริเวณที่ตั้งสำนักงาน อบต.หนองอ้ม
อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี
ภาพที่เห็นตรงหน้า คือเด็กชายสามคนช่วยกันปลดปลาออกจากเบ็ด ณ ริมตลิ่งของบารายเก่าแก่แห่งนี้
“ฉันยังไม่ได้สักตัวฉันจะเดินอ้อมไปปักเบ็ดด้านโน้นก็แล้วกัน”
เจ้าตัวเล็กบอกเพื่อนแล้วเดินย่ำโคลนที่ปกคลุมด้วยหญ้าหนา ๆ ริมบาราย
เป็นภาพที่เห็นแล้วอดเดินไปดูอย่างแปลกใจไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งหนีจากเหตุภัยพิบัติอุทกภัยใหญ่หลวงอย่างฉันขณะนั้น
ภาพ ข่าว น้ำท่วม น้ำเน่า น้ำประปาเจือสารพิษ สิ่งปะปนมากับน้ำในกรุงเทพมหานคร เพียงลัดฟ้าชั่วโมงเดียว ก็มาอยู่ในดินแดนอีกส่วนหนึ่งของประเทศไทย ได้มาเห็นความบริสุทธิ์ใสซื่อของเด็ก ๆ กำลังช่วยกันทำมาหากินในบารายที่ล้อมรอบด้วยทุ่งข้าวเขียวขจี ของปราสาทหินบ้านเบญจ์
ฉันดีใจที่ออกจากกรุงเทพมาได้ทั้ง ๆ เกือบจะเปลี่ยนใจไม่กล้าเดินทางแม้สักก้าวเพราะกลัวมวลน้ำเน่าพิษ
เหตุเพราะ ใกล้วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๕๔ ต้องไปคืนตั๋วรถไฟ ที่ซื้อเพราะวางแผนไว้จะไปอุบล ในช่วงวันปิยมหาราชซึ่งจะได้หยุดงานติดต่อกัน ปรากฏว่ากองทัพน้ำจากเหนือท่วมท้น เอ่อนองลงมาเรื่อย ๆ แต่เดือนก่อนเริ่มเข้าโจมตีกรุงเทพฯแล้ว ความโกลาหลแตกตื่น ต่อมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ สร้างความเครียด ความหวาดหวั่น กลัวเกรงเข้าเกาะกุมเต็มหัวใจ ข่าวหลายสำนักแย่งกันนำเสนอแบบเจาะลึกแทบตลอดเวลา น้ำเสียงที่ตอกย้ำของเหล่านักข่าวทั้งหลาย พร้อมภาพเหตุการณ์สด ๆ ทำให้ดูเหมือนว่าเราอยู่ในสภาวะสงคราม
รถไฟสู่เหนือ ถนนสายเอเชียถูกตัดขาด
รถไฟไปอีสานเปลี่ยนเส้นทาง
ทางเข้าออกกรุงเทพหลายสายกลายเป็นที่จอดรถ
มวลน้ำมหาศาลกำลังไหลบ่าท่วมท้นกลบกลืนทุกอย่างที่ขวางหน้าในจังหวัดภาคกลางเรื่อยมา จนถึงกรุงเทพอันเป็นด่านก่อนลงสู่ทะเลจุดหมายปลายทางของน้ำ
ท่ามกลางสถานการณ์นี้ทำให้รู้สึกท้อถอย หดหัวเหมือนเต่าหลบเข้ากระดองและตัดสินใจไปคืนตั๋วรถไฟ แล้วก็มึนงงสมองตื้อเหมือนอยู่ในโลกมือต่อไป
“ทางไปสุวรรณภูมิยังไม่ปิดนี่แม่ ซื้อตั๋วเครื่องบินให้แล้วนะ”
เสียงลูกชายคนโตย้ำเตือนมาทางโทรศัพท์ เหมือนมีเทียนดวงน้อยจุดสว่างขึ้นวับแวมทีเดียว
นั่นแล้วจึงได้หนีจากสภาวะความเครียดจากข่าว และผลกระทบของมวลน้ำไปชั่วคราว จากกรุงเทพเมืองแออัดสู่แผ่นดินกว้างใหญ่ไทอีสานอีกทีในช่วงวันหยุดปิยมหาราช ๕๔
น้ำที่อุบลก็เอ่อท่วมอยู่บ้างตามริมฝั่งแม่น้ำมูล แต่ผืนทุ่งโดยทั่วไปยังปูลาดด้วยพรมสีเขียวให้กลายเป็นดั่งทะเลภายใต้ฟ้างามสดใส กลุ่มเมฆบาง ๆ ลอยฟ่องฟูอยู่เหนือทิวข้าวดูราวกับปวงเทพส่งรอยยิ้มมาปลอบใจ ให้ฟื้นตื่นจากความหมองเศร้าที่เกาะกุมมาจากกรุงเทพ ให้สดชื่นเป็นคนเก่า(หลานพ่อใหญ่เลาะ)ขึ้นมาทันที
“ไปทำบุญ ไปเยี่ยมยายพัน ยายผันที่ทุ่งศรีอุดมกันเถอะ”
“งั้นขอแวะปราสาทบ้านเบญจ์หน่อยนะ”
ถึงจุดหมายเสียที ปราสาทหินบ้านเบญจ์ ตำบลหนองอ้ม อำเภอทุ่งศรีอุดม อุบลราชธานี
และด้วยภาพดังกล่าว แทนการเดินสู่ปราสาทหินฉันกลับตรงลิ่วไปที่บาราย เพื่อดูเด็ก ๆ จับปลากัน
ปราสาทหินบ้านเบ็ญจ์ เป็นศาสนสถานขอมขนาดย่อมที่ผุพัง และชิ้นส่วนสำคัญหลายอย่างสาบสูญไปแทบหมด เดิมตั้งอยู่ชายป่าเป็นที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควายของชาวบ้าน แต่สถานที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของท้องถิ่น ทุกปียังมีการจัดพิธีบวงสรวงกราบไหว้บูชากันอยู่ และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการตั้งสำนักงานที่ทำการอบต.หนองอ้มขึ้นในบริเวณใกล้เคียงการอนุรักษ์ปกป้องก็มีการจัดการได้ดีขึ้น
ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นโคปุระ มีร่องรอยฐานศิลาแลงก่อสูงเป็นรูปผังสี่เหลี่ยมทั้งด้านนอก และด้านในปราสาท มีบารายหรือสระน้ำอยู่นอกกำแพงศิลาแลงสองด้าน เหนือและใต้ ด้านในกำแพงประกอบด้วยปรางค์อิฐ ๓ หลังตั้งบนฐานศิลาแลง กรมศิลปากรได้ขุดแต่งในปี ๒๕๓๓ ได้พบทับหลังเทพนพเคราะห์ หรือเทวดาประจำทิศทั้ง ๙ องค์ และรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ จากแผนผังทางสถาปัตยกรรมและภาพแกะสลักอาจกำหนดอายุได้ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖
ความเก่าแก่ของสภาพภายในทำให้มีต้นไม้ใหญ่ เล็ก แทรกซอนเติบโตขึ้นตามฐานศิลาและรอยแตกปริของตัวปราสาท ดูน่ากลัวว่ามันจะหยั่งรากกลบกลืนไปทั้งหมดในวันข้างหน้า
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังประโยชน์แก่มนุษย์ผู้อยู่รายรอบก็คงจะเป็นพรมหญ้าใช้เลี้ยงวัว ควาย และตัวสระน้ำหรือบารายทั้งสอง ที่มีน้ำใสสะอาดปราศจากสารพิษ และมีกุ้ง หอย ปู ปลามากมายหลายชนิดอยู่ชุกชุม แม้แต่เด็ดตัวน้อย ๆ อย่างเด็กชายทั้งสามยังจับปลาได้ไม่วายเว้น
๐๐๐๐