กิ่งคำปายกับยายทวดตอน๑๙.
นักรบมาเคอจูลาเผชิญแกงการูปู่ฟ้า
โดยเอื้อยนาง
เสียงดนตรีจากชาวค่ายมาเคอจูลาดังแว่วมาให้ได้ยิน เมื่อแพรเหาะสองผืนพาผู้โดยสารทั้งคน และสัตว์ล่องลิ่วลัดเลาะทิวไม้ลงมาเหนือหุบเขาบริเวณที่ตั้งกลุ่มกระโจม
ขากลับนี่ กิ่งคำปายขอร้องยายทวด ให้ใช้แพรเหาะสองผืน จะได้ไม่ต้องยืนเบียดกันเหมือนขามา ในบางครั้งเด็กสาวก็ทำตัวเป็นเด็กแสนงอน ออดอ้อนเรียกร้องเอาสิ่งที่ตัวเองต้องการ ให้ยายทวดตามใจได้เหมือนกัน เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่สามารถเอาชนะยายทวดได้
“ฮึ....ใช่ว่าตัวเป็นผีที่มีอิทธิฤทธิ์จะทำได้แต่สิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น”
รำพึงพลางแอบยิ้มพึงใจ ในขณะดึงแขนมามิริให้ก้าวขึ้นบนแพรเหาะที่สะบัดพลิ้วปลิวลมเข้ามา เหมือนผีเสื้อยักษ์ขยับปีกบินร่อนช้อนกลีบดอกไม้ จิงโจ้โมบายนั้นถูกโรบินสันประคับประครองขึ้นแพรอีกผืน ที่มีตัมบูขึ้นไปก่อนแล้ว มาถึงตอนนี้ดูเหมือนโรบินสันจะมีความรู้สึกว่า โมบายเป็นหญิงสาวแม่ลูกอ่อนที่อ่อนแอ และต้องการการดูแลเป็นพิเศษกว่าใคร ลูกน้อยในกระเป๋าหน้าท้องของเด็กสาวยื่นหัว และขาหน้าออกมาโบกไหว ๆให้กิ่งคำปายกับมามิริอย่างสนุก เมื่อแพรสองผืนพลิ้วขึ้นจากพื้น แล้วเลื่อนลิ่วเคียงกัน ลดเลี้ยวผกผิน เหมือนนกสองตัวบินอยู่คู่เคียง
ฟ้าเริ่มไขแสงเมื่อแพรผืนพลิ้วลิ่วลอยมาอยู่เหนือค่ายพักชาวเผ่า เสียงดนตรีหยุดเงียบไปแล้ว เหล่าชายนักเต้นรำทั้งแยกย้ายกันกลับที่พักในกระโจมของตน ไฟในกองยังคงแดงโร่ให้ความอบอุ่นและสว่างเรืองไปทั่วค่าย แพรเหาะสองผืนลอยพลิ้วลงต่ำเหนือหลังคากระโจม ที่มีกลุ่มควันสีเทาพวยพุ่งขึ้นจากกองไฟสู่อากาศเบื้องบน
ทันใดนั้น ท่ามกลางความสลัวราง กลุ่มควันที่กำลังพวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนนั้นกลับกลายเป็นลำแสงสีรุ้งลอยตัวลดเลี้ยว เหมือนงูเลื้อยในอากาศ ผ่านหลังคาหมู่กระโจมมุ่งสู่ป่าใหญ่บนภูเขาสูง
“ลำแสงสีรุ้งนั้นอีกแล้ว”
ว่าแล้วเจ้านางคำปลิวก็ทิ้งร่างวอมแบตน้อยในอ้อมกอดของเหลนสาวออกไป และกลายเป็นเงาร่างของเจ้าลาวคนสวยโปร่งใส ลอยเลื่อนติดตามลำแสงนั้นไปทันที
“ฝากวอมแบตด้วยนะ ข้าไปเดี๋ยวเดียว”
ขาดคำแพรเหาะสองผืนก็หายวับ ผู้โดยสารทั้งหลายหล่นลงก้นกระแทกพื้นเสียงดังตุ๊บตั๊บ
“เกิดอะไรขึ้นกับตูอีกหนอ”
หนุ่มโรบินสันได้แต่ครวญครางในใจ ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาเพราะเห็นคนอื่นเขาดีดตัวลุกขึ้นทันใดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลูกน้อยของจิงโจ้โมบายเท่านั้นที่ร้องไห้เสียงออดแอดงอดแงดออกมาอย่างตกใจ ตามประสาเด็ก กิ่งคำปายนั้นลุกขึ้นได้ก็โก่งคอเปล่งเสียงตะโกนตามยายทวดอย่างห่วงใยไปว่า
“ระวังตัวหน่อยนะยายทวดจ๋า ใกล้สว่างแล้วด้วย”
เธอกอดวอมแบตน้อยไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีวิญญาณยายทวดสิงสู่ มันกลายเป็นสัตว์ป่าธรรมดา เริ่มดิ้นรนหาอิสรภาพ เด็กสาวต้องกอดกระชับมันไว้กับอก ให้ความอบอุ่นคุ้นเคยกับมัน และปลอบโยนมัน
ทันใดนั้น มีเสียงเคาะไม้ดังรัวขึ้นมาจากในค่าย มามิริกับตัมบูฉุดแขนเพื่อต่างผิวให้หมอบลงข้างพุ่มไม้แล้วเงี่ยหูฟัง นางจิงโจ้โมบายยกขาหน้าที่กุดสั้นขึ้นกดหัวลูกน้อยให้หลบเข้าในกระเป๋าหน้าท้องพลางจุปากปลอบโยนให้เงียบเสียง
เสียงเคาะไม้ดังไปรอบ ๆ กลุ่มกระโจม ปลุก ชาวค่ายทั้งหลายให้ลุกขึ้นมารับรู้เหตุด่วนเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในค่าย
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนหายไป”
“ออกมา ทุกคนออกมารวมกันอยู่ที่ลานเดี๋ยวนี้”
ชายหญิง ลูกเล็กเด็กแดง คนเฒ่าคนแก่ ทั้งหมดที่มีถูกปลุกขึ้นมา เพื่อสำรวจหาว่าสมาชิกในกระโจมใดที่อยู่ไม่ครบ
“มีใครหายไป”
ต่างถามไถ่กันเซ็งแซ่
“มามิริ ตัมบู และเพื่อนผู้มาใหม่...ข้ารู้พวกเขาแอบหนีไปตั้งแต่เมื่อคืน”
เสียงตะโกนบอกชื่อเธอออกมาชัดเจนนั้นมามิริจำได้ว่า เป็นเสียงของอารันดารีพี่สาวต่างมารดาของเธอ คนสวยประจำค่ายนั่นเอง
“อารันดารี พี่ข้า ”
มามิริเอ่ยออกมาอย่างคลางแคลง ชะโงกหน้าออกไปมองดูผู้คนที่ถูกต้อนออกมาชุมนุมกันอยู่กลางลานหน้ากระโจมพัก เห็นร่างของเธอผู้นั้นยืนเด่น กำลังประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่าตัมบูกับมามิริพาเพื่อนใหม่หนีไปไหน
“อารันดารี ใช่...”
โรบินสันทวนชื่อนั้น นึกไปถึงสายตาคมกล้าเหมือนมีดวงไฟวับแวมคู่นั้น เช่นเดียวกับจิงโจ้โมบาย แม้เธอจะเป็นเพียงวิญญาณในร่างสัตว์ แต่เธอก็ดูออกว่าหญิงสาวผู้นั้นมีไฟริษยาซ่อนไว้ในใจ
“พี่ของเจ้าเขาอิจฉาเจ้าละซี”
นางจิงโจ้ทำเสียงเหมือนมนุษย์ที่ช่างพูดกระแนะกระแหน
ไม่แปลกหรอก โรบินสันคิด เห็นด้วยกับจิงโจ้โมบาย ก็หญิงสาววัยเบ่งบานสะพรั่งพราวเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ และชีวิตชีวาอย่างอารันดารี แต่ต้องถูกเก็บกดไว้ให้เป็นเมียคนแก่หง่อมคราวปู่ เธอจึงมีความรู้สึกไร้สุขซุกซ่อนอยู่ภายในก้นบึ้งแห่งห้วงหัวใจ เหมือนน้ำที่ถูกเก็บกักไว้ในกระบอก หรือแท็งก์ใหญ่เต็มเปี่ยมปริ่ม พร้อมจะไหลพุ่งออกมาแม้มีช่องเพียงน้อยนิด
“ข้าจะไปพูดกับนางให้รู้เรื่อง”
มามิริลุกขึ้นก้าวพรวดออกไป แต่ถูกตัมบูฉุดรั้งไว้ก่อน
“หากเราออกไปให้เขาพบเห็นตอนนี้ก็มีแต่ต้องรับโทษ ...ตาย”
คำพูดของตัมบูผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง ผู้มีแต่ความรักและปรารถนาดีต่อกันตลอดมาทำให้เด็กสาวชาวเผ่าได้คิด เธอชะงักขาที่กำลังจะก้าวเดินออกไป หันกลับมามองทุกอย่างรอบตัว เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาแทน เสียงตัมบูตอกย้ำหนักแน่นทำให้เธอหงุดหงิดลังเล
“หากถูกจับได้เราคงถูกสอบสวน ไปหลายเรื่องหลายราว หลายคราวที่เราเคยละเมิดกฎของเผ่าเข้าไปในดินแดนต้องห้ามนั้นโทษหนักนัก และดีไม่ดีแม่เฒ่านาไบ กิ่งคำปาย กับ โรบินสันก็อาจต้องตายด้วย”
“งั้นคงต้องหลบไปก่อนแล้วหละตอนนี้”
กิ่งคำปายตัดสินใจรวดเร็ว ก็โธ่...ถูกมอเตอร์ไซค์เหวี่ยงลงข้างถนน และหล่นลงมาจากเครื่องบินยังไม่ตายเลย จะให้มาตายเพราะอาวุธด้ามยาวของชาวเผ่า จะให้ยอมได้อย่างไร ต้องหลบไปก่อนหละ
ไม่มีใครคัดค้าน ทั้งสี่พร้อมด้วยจิงโจ้แม่ลูกอ่อนจึงลุกขึ้นหันหลังกลับวิ่งสู่ชายป่า
“พวกเขาอยู่ทางนั้น”
เสียงตะโกนตามมา อารันดารีวิ่งนำหน้าผู้คนทั้งหลายที่ติดตามกันเป็นพรวน เร่งให้ทั้งสี่วิ่งสุดกำลัง ป่ายูคาลิปตัสโปร่ง ๆ ข้างหน้าคือจุดหมาย
“พวกเจ้าวิ่งไปก่อนข้าจะจัดการเอง”
นางจิงโจ้โมบายหยุดวิ่ง ตะโกนบอก พลางกระชับลูกน้อยในกระเป๋าหน้าท้องแน่น ก่อนหันหน้ากลับมาปักหลักเผชิญกับฝูงชนที่วิ่งกันหน้าตั้งตามมา สองขาอันใหญ่โตแข็งแรงเหยียดขึ้นเต็มที่ มองเหมือนคนที่ร่างกายสูงใหญ่ยืนตระหง่านไม่หวั่นเกรงศัตรู ขาหน้าสั้นยื่นออกไปข้างหน้าปะทะร่างอารันดารีที่วิ่งมาหน้าสุดให้หงายหลังลงทันที อารันดารีกรีดร้องด้วยความตกใจและโมโห ทั้งถูกจิงโจ้ผลัก ทั้งคนอื่น ๆ วิ่งตามหลังยังมาชนจนล้มทับระเนระนาดลงมาอีก กระนั้นหลายคนก็ยังพยายามวิ่งข้าม และเหยียบร่างเธอไปอีก จนอลหม่านชุลมุน
“หยุด...”
เสียงมีอำนาจดังขึ้น กลุ่มคนทั้งค่ายหยุดชะงัก ที่ล้มลงทับกันระเนระนาดค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วฟังคำสั่งชายผู้อาวุโสผู้หนึ่ง ที่เป็นผู้ตะโกนบอกให้หยุด
จิงโจ้โมบายค่อย ๆ ถอยหลังอย่างระมัดระวัง
“โมบายมาเถอะเร็ว ๆ เข้า”
เสียงเพื่อนที่วิ่งไปในป่าเรียกอย่างห่วงใย โมบายกลับส่งเสียงดุกลับไป และเร่งให้พวกเขารีบหลบให้ไกล ๆ ไม่ต้องห่วงเธอที่เป็นผี
“ทุกคนกลับที่พักให้หมด ให้พวกนักรบเท่านั้นออกตามล่าเอาคนผิดมาทำโทษ” นั่นเป็นเสียงสั่งการของชายผู้มีอำนาจในเผ่า
“นักรบหรือ” โมบายหูผึ่ง ตะลึงมองอยู่เป็นครู่
ชาวเผ่าทั้งหลายต่างแยกย้ายกันกลับตามคำสั่ง เหลือแต่เหล่าชายฉกรรจ์ที่แปลงกายเป็นนักรบแต่เมื่อใดไม่ทันเห็น ต่างคนแต้มสีสันบนใบหน้า เนื้อตัวที่มีแต่ผิวหนังห่อหุ้ม หามีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดปิดกายไม่ มีเพียงสายหนังสัตว์คาดประดับศีรษะ เสียบแซมขนนกและกิ่งไม้เข้าไป เหมือนกับตามข้อมือ ข้อเท้า และสะเอว กระชับอาวุธไม้ท่อนยาวในมือ วิ่งมารวมแถว ตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยเสียงอันดัง ก่อนกระทุ้งอาวุธลงดิน เสียงดังฉึก !!
ผีก็ผีเถอะตกใจกลัวเป็นเหมือนกัน โมบายผีแม่ลูกอ่อนจึงได้แต่หันหลังกลับแล้วทำตัวให้หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ตามนางจิงโจ้ตัวนั้นไป”
หัวหน้านักรบออกคำสั่ง ร่างลายพร้อยวิ่งพลางกระโดดพลางตามกันเป็นทิวแถว
ฟ้าเบื้องนอกสว่างเรื่อเรือง โมบายพยายามซอกซอนเข้าในป่าลึกที่ยังมีความมืดปกคลุม แสงตะวันทำให้พลังของเธอถดถอย ที่ผ่านมาได้แต่อาศัยบารมีของยายทวดจึงสามารถดำรงอยู่ในสภาวะนี้ได้เป็นปกติทั้งกลางวันและกลางคืน
นักรบทั้งหลายเป็นนักตามรอยสัตว์ที่ชำนาญกันทุกคน จิงโจ้โมบายกระเตงลูกน้อยกระโดดฮอบ ๆ หลบหนีอยู่ได้ไม่นานก็มีเสียงอาวุธด้ามยาวอันหนึ่งพุ่งฉิวเฉียดผ่านหัวไป โดนต้นไม้ดังฉึก !!
ผีสาวแม่ลูกอ่อนตกใจจนกระโดดตัวลอย ทิ้งร่างสัตว์ที่อาศัยสิงสู่ไว้ก่อน ร่างโปรงใสของเด็กสาวนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ สะพายกระเป๋าเป้ใส่ลูกน้อยของเธอลอยเลื่อนออกจากจิงโจ้ ลอยขึ้นสู่ปลายไม้สูงขึ้น ๆ
“แกงการู ปู่ฟ้า.....”
นักรบที่เป็นผู้พุ่งเหลนใส่จิงโจ้เห็นร่างโปร่งใสลอยออกจากตัวมัน เขาร้องตะโกนขึ้นอย่างตกใจและหวาดหวั่นขวัญหนีดีฝ่อ ทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้น พลางชี้มือบอกคนอื่น ๆ ที่ติดตามมา
“ปู่ฟ้ามาในร่างของจิงโจ้” เสียงพึมพำย้ำบอกกัน พลันทุกสายตาก็ต้องเบิ่งมองแหงนเงยขึ้นไปที่ปลายไม้สูง
ลมพัดกิ่งไม้โอนไหว ร่างเบาหวิวของโมบายไหวโอนตามกิ่งไม้ เธอโบกมือให้เหล่านักรบที่ด้านล่างไหว ๆ อย่างยั่วล้อ ก่อนค่อย ๆ เลือนหายไป
ทั้ง ๆ ยังงงงันนักรบทั้งหลายหันหลังกลับทันทีราวกับติดปีกที่ขา ชั่วอึดใจเดียวก็มาหอบตัวโยน หน้าตาตื่นที่ลานชุมนุมของค่าย
คนทั้งค่ายต่างชุมนุมกันอยู่รอบกองไฟกองใหญ่ กลางลานที่ล้อมด้วยกระโจมพัก
“จับตัวพวกเขาได้ไหม”
อารันดารีร้องถาม เมื่อมองเห็นเหล่านักรบมาแต่ไกล ครั้นแล้วเธอและทุกคนในค่ายต่างมีอาการเงียบงันและหวั่นหวาดขึ้นมาแทน เมื่อเรื่องราวของนางจิงโจ้ถูกถ่ายทอดออกไป
จิงโจ้เป็นสัตว์มีบุญคุณต่อชาวเผ่ามาแต่โบราณกาล ตัวมันใหญ่โตให้เนื้อมากมาย เป็นอาหารอย่างดีของมนุษย์ หนังของมันใช้ห่อห่มให้ความอบอุ่น พวกผู้ชายใช้กระดูกของมันติดหัวอาวุธและเครื่องมือขุดเจาะ ฟัน แทง หรือเหลาสิ่งอื่น ๆ ให้แหลมคม พวกผู้หญิงใช้หนังของมันทำเป็น ตะกร้าตักน้ำ หรือถุงบรรจุสิ่งของ และแม้แต่ใช้บรรจุทารกน้อยเพื่อนำติดตัวเดินทางไปไหน ๆ ได้สะดวก
เชื่อกันว่าจิงโจ้นั้นมีจิตวิญญาณเช่นเดียวกับมนุษย์ ตั้งแต่ครั้งก่อน นานมาแล้ว ในยุคแห่งดรีมไทม์
“นั่งลงเถิดทุกคน”
ผู้อาวุโสประจำเผ่าเปล่งเสียงแผ่วเบา นั่งลงกลางเหล่าชาวค่ายซึ่งต่างทำตาม แวดล้อมท่านไว้เหมือนดาวล้อมเดือน ชายชราเริ่มเล่าเรื่องแห่งยุคดรีมไทม์
“มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายล้วนพูดภาษาเดียวกัน เป็นเพื่อนกัน พึ่งพาอาศัยกัน”
ทุกคนเงียบกริบ เหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ ตั้งอกตั้งใจฟังตำนานอันสืบเนื่องมาจากความเชื่อทางศาสนา แทรกความรู้ คติเตือนใจ ข้อห้าม ความประพฤติของผู้คนให้ฝังแน่น เชื่อฟัง เด็ก ๆ ขยับเข้าในอ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อแม่
“วันหนึ่งขณะที่ผู้คนกำลังประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ พวกผู้ชายกำลังเต้นรำไปรอบกองไฟ พวกผู้หญิงตีกลองและร้องเพลงกันอยู่อย่างสนุกสนานนั้น มีจิงโจ้ตัวหนึ่งแอบดูอยู่ด้วยความเพลิดเพลิน มันหลงใหลในเสียงเพลง และจังหวะการเต้นรำ มันแอบดูอยู่ด้วยความรู้สึกอันดื่มด่ำ เคลิบเคลิ้ม และในที่สุดด้วยอำนาจของพลังเพลงมันจึงกระโดดออกมาเต้นรำด้วยอย่างลืมตัว
“มันพยายามทำท่าให้เหมือนมนุษย์ที่สุด ด้วยการเหยียดกายยืนขึ้น แล้วเต้นรำโดยใช้เพียงขาหลังสองขา ส่วนขาหน้าคู้เข้าไว้เหมือนแขนมนุษย์ ท่าเต้นของมันดูตลก แต่ก็น่ารัก และน่าสนุก เร้าใจจนนักเต้นรำทั้งหลายในที่นั้นอดไม่ไหว ต่างออกท่าทางตามอย่างมัน ทำให้เกิดมีเต้นรำจังหวะจิงโจ้มาตั้งแต่บัดนั้น มนุษย์เราก็ถือว่าจิงโจ้เป็นสัตว์สำคัญ เราจะจับ หรือล่าจิงโจ้ก็เฉพาะตัวที่โตเต็มที่ เพื่อใช้เป็นอาหารตามความจำเป็นเท่านั้น”
“อย่าไปฆ่าจิงโจ้โดยไม่จำเป็น หรือทำเล่นเพื่อเกมสนุก มันมีจิตวิญญาณเหมือนมนุษย์ มันสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ มันเป็นตัวแทนของปู่ฟ้า ที่กลายร่างลงมาเยือนหมู่มนุษย์ มาเรียกเอาวิญญาณมนุษย์กลับไปสู่ดินแดนแห่งดรีมไทม์ อาจบางทีมามิริ กับตัมบูคงเป็นมนุษย์ที่ปู่ฟ้าต้องการ สองคนอาจกลายร่างเป็นจิงโจ้ไปแล้วก็ได้”
และนั่นแหละการตามล่าสองผู้ทำผิดมาลงโทษจึงถูกเลิกล้มไป
๐๐๐๐๐๐