คึดฮอดเมืองลาว๑๗
เดินข้ามโขงบนสะพานเชื่อมใจไทลาว๓
“เอื้อยนาง”
ถนนเลียบแม่น้ำโขงช่วงจากอำเภอไชยบุรี จังหวัดนครพนมถึงตัวจังหวัด ผ่านเข้าเขตอำเภอท่าอุเทน ทัศนียภาพสวยงาม ร่มครึ้มด้วยต้นไม้สองข้างทางแผ่กิ่งก้านผสานดอกใบสร้างสีสัน บางช่วงตามริมถนนมีเพิงแผงร้านค้า ตั้งขายผลไม้ประเภทแตงโม แตงไทย สับปะรด ตั้งเทินเรียงราย บางช่วงมีปลาสด ปลาแห้ง ทั้งแหนมปลาช่อนจากแม่น้ำโขงที่ลือชื่อเรื่องความอร่อย ห้อยแขวนอวดความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องถิ่น
หากเราเดินทางมุ่งหน้าสู่นครพนม มองไปซ้ายมือจะเห็นเทือกเขายาวเหยียดประกอบด้วยภูเขารูปร่างแปลก ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆโค้งเว้า คดงอ ดูคล้ายมีใครสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา และหากว่ามีใครเป็นคนปั้นภูเขาจริง ๆ ใครคนนั้นก็คงเป็นศิลปินนิรนาม ไร้ชื่อ ไร้ฝีมือ หรือไม่ก็คงเป็นเด็กซน ๆ ปั้นดินเล่นเป็นภูเขา เป็นรูปร่างไร้รูปแบบ แต่ก็ดูสวยแปลกตาดี
ภูเขาเหล่านั้นจะดูลางเลือนในบางช่วง หรือหายลับตาไปเมื่อรถซอกซอนเข้าในป่าที่มีไม้ใหญ่บดบัง แต่บางครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์อ่อนแสงจะเห็นชัดเจน ดูใกล้ จนไม่อยากเชื่อว่าจริง ๆ แล้วมันอยู่ไกลคนละฟากฝั่งโขง คนละประเทศเขตแดนกับถนนที่เรากำลังไต่ตามอยู่นี่เอง
“ภูเขาสวย ๆ เหล่านั้นอยู่ฝั่งลาวหรือ”
เด็ก ๆ ถามด้วยจินตนาการไปว่าลาวนั้นช่างอยู่แสนไกล บอกเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่อยากเชื่อว่าครั้งหนึ่งดินแดนนี้เป็นอาณาจักรเดียวกัน เท่าที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ตั้งแต่อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ถึงล้านช้างร่มขาวละ แม่น้ำโขงนั้นเคยไหลผ่านใจกลางราชอาณานาจักร แต่มาปัจจุบันแม่น้ำโขงคือเส้นแบ่งประเทศไทย-ลาว
และแม่น้ำโขงช่วงนี้ก็ไหลเลาะเลื้อยอยู่ระหว่างภูเขาฟากนั้นกับถนนที่เรากำลังไต่ตาม
ลาวกับไทยเป็นพี่น้องป้องปลายแต่ในอดีตจนปัจจุบัน แม้จะมีแม่น้ำโขง และคำว่าประเทศ เป็นเส้นแบ่ง ก็ไม่เคยทำให้ความรู้สึกพี่น้องเหือดหาย ลาวนั้นเป็นพี่มีไทยเป็นน้อง เราเชื่ออย่างนั้นเพราะบรรพบุรุษกล่าวขานสืบมา หลักฐานสืบเนื่องก็คือภาษาสื่อสาร และการไปมาหาสู่ข้ามโขง ที่ไม่เคยขาดสาย อาจมียุ่งยากบ้างในบางยุคสมัยแต่สุดท้ายจะมีอะไรเล่ามาขวางกั้นได้ อย่างที่เมืองท่าอุเทน นอกจากพี่น้องไปมาเยี่ยมยามปกติแล้วยังมีตลาดนัดไทยลาวริมฝั่งโขงให้แลกเปลี่ยนสินค้า มีพระธาตุท่าอุเทนที่เลื่อมใสศรัทธาร่วมกัน มีประเพณีเทศกาลร่วมกันตามฮีตคองทั้งสองฝั่ง
เรากำลังมุ่งหน้าสู่นครพนมในยามเย็นพระอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงของวันที่๑๑ เดือน๑๑ ปี ๒๐๑๑ วันสำคัญที่พี่น้องไทย-ลาวแถบนี้รอคอยมานาน นั่นคือวันเปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ ๓ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงช่วงระหว่าง นครพนม กับ เมืองท่าแขก
เรามาไม่ทันในช่วงเช้า แต่ก็ดีที่แดดอ่อนลงมากแล้ว
เด็ก ๆ นักท่องเที่ยวในสายเลือดชาวคณะวันนี้มี เจ้าอิ๊กคิว พี่ไออุ่น น้องจีด้าแพงขวัญ และคนสำคัญคือน้องไออ้น เพราะเพิ่งโกนหัวบวชเณรจูงคุณยายสู่สวรรค์ตามประเพณีพอถอดผ้าเหลืองปุ๊บก็วิ่งตามคุณย่าและชาวคณะเลยทีเดียว
ก็มันเป็นโอกาสเดียวนี่นา ที่จะได้เดินข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาวสบาย ๆ หลังจากวันนี้ไปก็มีแต่ต้องนั่งรถยนต์เท่านั้นไม่มีโอกาสแตะเท้าลงพื้นสะพานได้หรอก
โอกาสอย่างนี้ซีที่ลูกหลานพ่อใหญ่เลาะต้องรีบคว้าไว้ตามสันดานทันที
จริง ๆ ชาวคณะนี้เคยข้ามไปลาวบ่อย ๆ บางคนตั้งแต่อยู่ในท้อง แล้วออกมาแบเบาะด้วยซ้ำ ที่เมืองท่าแขกฝั่งตรงกันข้ามกับนครพนมก็เคยไปมาแล้วในปีที่แล้วช่วงเทศกาลมาฆบูชาที่น้ำแม่โขงแห้งลงจนแทบมองเห็นเมืองพญานาค(เคยเล่าไว้แล้วค่ะในตอนอาณาจักรสีโคดตะบอง)
แต่ครั้งนี้เอาแค่เดินขึ้นไปอยู่บนสะพานตรงกลางแม่น้ำโขง มองเห็นฝั่งซ้ายฝั่งขวาอยู่สองข้างก็พอใจนักแล้ว
สะพานตั้งอยู่ช่วงระหว่างอำเภอท่าอุเทน กับ ตัวจังหวัดนครพนม หากมาจากทางตัวจังหวัดจะต้องเลี้ยวออกมาตามถนนนครพนม – หนองคาย ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรกว่า ๆ ดังนั้นด่านเข้าเมืองฝั่งโน้นจึงไม่ได้ตั้งอยู่ตรงตัวเมืองท่าแขกแต่จะอยู่ห่างออกมาพอสมควร แต่ไม่มีปัญหาหรอกเขาจะมีรถโดยสารนครพนม-ท่าแขกไว้บริการนักเที่ยวให้เดินทางไปที่นั่นสบาย ๆ ในอีกวันสองวันหลังพิธีเปิดสะพานอยู่แล้ว
เป็นสะพานที่ยาวมากทีเดียวมองเห็นแต่ไกล เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันใหญ่อยากลงไปเดินตั้งแต่ลอดสะพานมาแล้ว
ใต้สะพานดูคึกคักพลุกพล่านเพราะมีร้านค้า ผู้คนมากมาย คงจะมีทั้งไทยและลาวนั่นแหละ มีงานใด ๆ เกิดขึ้นที่ใด ๆ ในยุคนี้ ผู้ได้ประโยชน์คือพ่อค้าแม่ขาย ซำเหมอนั่นแหละ ส่วนพวกตื่นเต้นตาโตอย่างพวกเราก็มีแต่เสียเงินนะซี้
กระนั้นก็พอใจ สุขใจกันนักละ เด็ก ๆ วิ่งฝ่าฝูงชนตั้งแต่ลอดผ่านอาคารที่ทำการผ่านเข้า(ออกด้วย)เมือง(ประเทศ)นั่นแหละ
“ช้าง ช้าง...หนูจะขี่ช้าง”
เจ้าตัวเล็กสุดตาไว ร้องบอกพลางชี้มือ ไปหุ่นช้างแม่ลูกที่ยืนตระหง่านอยู่ประตูสู่ลาว เจ้าตัวใหญ่กว่าเห็นแล้วเลยวิ่งหัวซุนตาม ๆ กันไป แม่เปิ้ล พ่อขุนวิ่งตามแทบไม่ทัน ส่วนคุณย่านั้นลอยตัวเหนือปัญหาเพราะมัวเก็บภาพ
ที่กรุงเทพตอนนี้กำลังหวั่นหวาดกับมวลน้ำมหาอุทกภัย เราก็หนีปัญหามาเดินเลื่อนไหลไปกับมวลชน เดินไต่ไปบนสะพานข้ามโขง
มวลชนนั้นมีทั้งที่เดินนำหน้าไปก่อน และเดินตามหลังหลั่งไหล มีไม่น้อยที่เดินสวนกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแก้มปริแม้จะหอบใจด้วยความเหนื่อยอ่อนก็ตาม
“ประเทศลาวอยู่ไหน”
หลานถามขณะย่ากำลังก้มลงนวดหัวเข่า เงยหน้าขึ้นแล้วชี้มือไปข้างหน้า บนสะพานที่ทอดยอดยาวสูงขึ้นไปเหนือแม่น้ำโขง คึดฮอดเมืองลาวก็มองตรงไปทางโน้น
พระอาทิตย์คล้อยต่ำกำลังจะลับฟ้าเมื่อมองกลับมาด้านฝั่งไทย แม่น้ำโขงอยู่ต่ำลงไปลิบลับผู้คนยังเดินไป กลับอยู่ไม่ขาดสาย
“หนูจะกินไอติม”
ดูเหมือนเสียงเจ้าตัวน้อยประโยคนั้น จะเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า “การจะเอาชนะทางใจกับสิ่งใดร่างกายก็มีส่วนสำคัญด้วย จะเดินข้ามแม่น้ำโขงก็ต้องมีความร่วมมือจากหัวเข่าด้วย”
“ไอติม ไอติม ขอบใจไอติมนะที่มาขาย”
กินไอติมกันแล้วก็มีเสียงออด ๆ ว่า “หนูอยากเข้าส้วม” เป็นสัญญาณเตือนว่าหันหลังกลับกันได้แล้ว
แม่น้ำโขงช่วงนี้มุ่งตรงเหนือใต้ตะวันจึงตกดินอยู่ตีนสะพานฝั่งไทย
“ตะวันทำไมดวงโตจัง”
“มันกำลังจะตกดิน”
“แล้วมันจะขึ้นมาอีกไหม”
“พรุ่งนี้เช้าใครตื่นทันย่าจะพาไปดู”
นั่นเป็นคำสัญญาจากย่า เด็ก ๆ ไชโยวิ่งกลับหน้าตั้ง เจ้าตัวเล็กงอแงเพราะหมดแรง เปิ้ลวิ่งตามพวกตัวโตพลางตะโกนเรียก แต่ช้าไป เจ้าอิ๊กคิวพาน้อง ๆ หายไปในฝูงชนลิบ ๆ จนพลัดหลงกัน
“แม่อิ๊กคิว พาไออุ่น ไออ้นนำหน้าไปก่อนหนูหาไม่เจอ”
เปิ้ลหน้าตื่นมาบอก
ใจหายวาบ เพราะเริ่มมืดแล้ว ผู้คนมากมายอย่างนี้ ได้แต่ยืนนิ่งภาวนาขอคุณพระคุณเจ้า คุณหลวงปู่ช่วยคุ้มครอง และพยายามเพ่งตามองระหว่างผู้คนที่ผ่านไปมา
เราประมาทเองไม่ได้กำชับกำชา ไม่บอกหลานว่าหากพลัดหลงให้ไปอยู่ตรงไหน ที่เด่นอย่างเช่นช้างแม่ลูกที่ยืนตระหง่าน
และถ้าหลานหายไป ถูกจับตัวไป หรือไปขึ้นรถกับใครจะทำอย่างไร ย่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร พ่อแม่เขาล่ะจะทำอย่างไร
รำ ๆ น้ำตาจะไหล เสียงเปิ้ลก็ร้องบอกมาว่าแม่ทางนี้ เด็ก ๆ อยู่ทางนี้
คึดฮอดเมืองลาวคราวนี้จึงจบลงด้วยรอยยิ้มเจือน้ำตา เย็นนั้นเราก็ไปพักที่ศิริพรโฮมเสตย์ ริมฝั่งแม่น้ำโขง เมองท่าอุเทน เช้าขึ้นมาไดดูดวงตะวันขึ้นกัน แต่คนที่ตื่นได้ทันจริง ๆ มีเพียงเจ้าตัวน้อยน้องจีด้าแพงขวัญเท่านั้น เพราะคนอื่น ๆ เล่นสนุกจนดึกแล้วนอนอุตุกัน
แม่น้ำโขงหน้าบ้านพักศิริพร ท่าอุเทนเป็นช่วงที่แม่น้ำไหลคดโค้งจากตะวันตกสู่ตะวันออก ตะวันขึ้นจึงคล้ายผุดโผล่ตรงขึ้นมาจากสายน้ำที่สะท้อนแสงระยิบระยับราวกับพญานาคจุดตะเกียงให้แสงสว่างแก่หล้าโลกกระนั้น
๐๐๐๐๐