ตำนาน เทศกาล คริสต์มาส
โดยวันชัย จุลสุคนธิ์
คริสต์ศาสนิกชน,เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูชนบท
ในตอนดึกของเดือนธันวาคมที่มีอากาศหนาวเย็นคืนหนึ่ง ระหว่างการเดินทางไปต่างเมืองเพื่อไปจดขึ้นทะเบียนสำมโนครัว ยอแซฟผู้สามีต้องพาภรรยาที่ตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอดพักอยู่ในถ้ำเลี้ยงแกะ และนางมารีอาได้ให้กำเนิดเด็กชายคนหนึ่ง ทั้งๆที่นางรู้ดีว่าเด็กชายผู้นี้เป็นใคร แต่ประสาแม่ทุกๆคนในโลกนี้ที่ชื่นชมลูกของตนเองที่เกิดมา แม้จะน้อยใจบ้างแต่ก็ย่อมเข้าใจดีที่ต้องไปอาศัยถ้ำเลี้ยงสัตว์เพื่อให้กำเนิดลูกของตนเอง ยอแซฟก็คงทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากตั้งกองไฟ ต้มน้ำร้อน และคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ
พระประสูติกาล
ช่วงเวลานั้น ณ เมืองเบ็ทเลแฮมซึ่งอยู่ในแคว้นยูเดียตรงกับรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ที่มีแต่ทะเลทราย อากาศที่หนาวเย็น ลมพัดแรง บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวต่างๆนาๆ อาศัยเพียงแสงสลัวๆของกองไฟที่ก่อขึ้นเท่านั้น สองสามีภรรยาก็ย่อมกังวลใจเพราะการเดินทางไกลไปยังต่างเมืองในขณะที่มีลูกอ่อนนั้นย่อมลำบากยิ่งนัก พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าก็มิได้แตกต่างจากเด็กทารกคนอื่นๆเลย และตลอดระยะเวลาสามสิบสามปีที่ทรงอยู่ในโลกนี้ ก็ทรงเจริญชีวิตเหมือนคนอื่นๆทั่วไป มีน้อยครั้งนักที่พระองค์ทรงเปิดเผยว่าพระองค์เป็นบุตรพระเจ้า ที่ยอมรับสภาพมนุษย์เพื่อไถ่บาปของมวลมนุษย์ โดยการถูกทรมานกระทั่งยอมรับความตายด้วยการถูกตรึงกางเขน
โปรดสัตย์และมนุษย์โลก
พิธีกรรมในโบสถ์ของคริสต์ศาสนิกชนที่เรียกว่า พิธีมิสซา เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตการณ์ในช่วงถูกทรมาน การเลี้ยงอาหารครั้งสุดท้ายของพระเยซูคริสต์นั่นเอง และพวกเราที่เป็นคริสต์ศาสนิกชนทั้งหลาย ต่างต้องพึงปฏิบัติตามชีวิตของพระองค์อย่างดีที่สุด ในฐานะที่เป็นพยานยืนยันและเพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนทั่วๆไป
ตรึงกางเขน
ดังที่กล่าวถึงการเสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ไม่ได้เลือกเกิดมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย แต่พระองค์เลือกที่จะเกิดมาอย่างต่ำต้อย จากหญิงธรรมดาสามัญ ทั้งๆที่มีกล่าวในพระคัมภีร์ว่าพระองค์มีเชื้อสายของกษัติย์ดาวิด เมื่อต้องมีภารกิจในการไถ่บาปของมนุษย์ ซึ่งชาวคริสต์เชื่อกันว่ามนุษย์เมื่อเกิดมาต้องได้รับการล้างบาปเสียก่อน บาปนี้เราเรียกกันว่าบาปกำเนิดที่มีติดตัวเราตั้งแต่เกิดทุกๆคน แม้พระเยซูคริสต์ก็ยังต้องได้รับพิธีล้างเช่นกัน
อีกเอกลักษณ์การเฉลิมฉลองที่ประเทศไทย
การที่พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าและยังเป็นพระเจ้าอีกพระองค์หนึ่งด้วยรับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปของมนุษย์นั้น เป็นเพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์อย่างมาก เพราะมนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่พระเป็นเจ้าทรงรักมากที่สุดนั่นเอง และความรักนี้พระองค์สอนและเป็นตัวอย่างให้มนุษย์ต้องรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจและรักเพื่อนมนุษย์ของเราเหมือนรักตัวเราเอง
ในปัจจุบันนี้มีประชากรทั้งโลกเกือบเจ็ดพันล้านคน ที่นับถือพระเยซูคริสต์เป็นศาสดาประมาณหนึ่งในสามซึ่งมากที่สุดในโลก ส่วนในเมืองไทยมีคาทอลิกอยู่ประมาณสี่แสนคนเท่านั้น
พระบิดาเทพแห่งความรัก
การเฉลิมฉลองในเทศกาลวันคริสต์มาสจึงถือกันว่าเป็น วันคล้ายวันเกิดของพระเยซู องค์ศาสดาของเหล่าคริสต์ศาสนิกชน และในคริสต์ศาสนานั้นยังถือกันว่า พระเจ้าอีกองค์หนึ่งซึ่งสำคัญไม่แพ้กันนั่นคือ พระบิดาและพระจิตเจ้า ซึ่งเป็นความรักของพระบิดาที่มีต่อพระเยซู เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่และเป็นรากฐานของศาสนาคริสต์
ปัจจุบันนี้ ศาสนาคริสต์ที่มีผู้คนเคารพและนับถือกันมากที่สุดในโลก มีองค์สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิก ที่ 16 เป็นพระประมุข
พระสันตปาปาเบเนดิกที่ 16
แต่สำหรับคนไทยวันนี้ มีความเข้าใจผิดว่าวันคริสต์มาสนั้น เป็นเทศกาลแห่งความสุข ความรื่นเริง จึงมักจะเฉลิมฉลองกันด้วยการท่องเที่ยว ดื่ม กิน ร้องรำทำเพลงกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ (ดูราวกับว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีอีกแล้ว) ลืมกันไปว่าแท้ที่จริงวันนี้(25 ธันวาคม) เทศกาลคริสต์มาสนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเยซู ที่เป็นองค์ศาสดาของคริสต์ศาสนิกชน
วันที่พระองค์ทรงสละเลือดเนื้อและชีวิต
ปล.รูปส่วนหนึ่งก็อปปี้จากอินเตอร์เนต ขอขอบคุณกูเกิ้ล