พม่าไม่ไปไม่รู้๒๐
หม่องอองไจยะ กับ ราชวงศ์สุดท้ายแห่งพม่า
“เอื้อยนาง”
นับแต่กุบไลข่านทำลายอาณาจักรพุกามลงในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ราชวงศ์พม่าถูกแทรกซึมโดยไทใหญ่ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่อังวะ ทำให้ตองอูค่อย ๆ เติบโตขึ้นโดยข้าราชสำนัก ทหาร และราษฎรที่ไม่ชอบอำนาจใหม่ ส่วนทางด้านมอญค่อย ๆ เติบโตที่เมาะตะมะ และย้ายมามีศูนย์กลางที่พะโค หรือหงสาวดีจนกล้าแกร่งขึ้น การค้า การศาสนาเจริญสุดขีดในสมัยพระนางเช็งสอบู จนถึงพระเจ้าธรรมเจดีย์
ตองอูกลายเป็นศูนย์กลางของพม่าในช่วงศตวรรษที่ ๑๖ ครั้นถึงสมัยพระเจ้าตะบ็งชะเวตี้แห่งตองอู กับขุนพลคู่ใจบุเรงนอง พม่าก็เข้มแข็งขึ้นจนกระทั่งสามารถรวบรวมเอาอาณาจักรมอญเข้าไว้ได้อีก และย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่หงสาวดี สามรถขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งอยุธยา ครั้นสิ้นรัชสมัยของบุเรงนองหงสาวดีถูกทำลายโดยตองอูกับยะไข่ พม่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมืองขึ้นสำคัญ ๆ ต่างแยกตัวเป็นอิสระ พ่อค้าชาวตะวันตกนำอาวุธเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนมากขึ้น เกิดกบฏกลุ่มต่าง ๆ เกิดการสู้รบแย่งชิงเรื่อยมา
กระทั่งมหาบุรุษผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้น
เขาคือหม่องอองไจยะ(ค.ศ.๑๗๑๔-๑๗๖๐)
ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย ไม่แน่นอนนั้น หนุ่มใหญ่ทายาทผู้ใหญ่บ้านมุตโชโบแถบแม่น้ำมูก็ผงาดขึ้นมาด้วยรูปร่างสูงสง่างาม น่าเกรงขาม บุคลิกน่าเลื่อมใส เต็มไปด้วยพละกำลัง และอุดมการณ์ที่ป้องกันชาวตำบลในปกครองของตนให้ปลอดภัยทำให้ชาวตำบลใกล้เคียงเข้ามารวมกลุ่มเป็นขุมกำลังที่ใหญ่โตขึ้น
หนุ่มอองไจยะถูกเรียกตัวเข้าไปสอบสวนในกรุงอังวะในข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏ แต่ความบริสุทธิ์และไหวพริบ เขาก็สามารถแก้ข้อกล่าวหาได้จนพ้นผิด จึงถูกปล่อยตัวมา ประสบการณ์นั้นทำให้เขาตระหนักถึงภัยรอบด้านของชาติบ้านเมือง จึงรวบรวมผู้คนในตำบลใกล้เคียงมาอยู่รวมกัน สั่งสมกำลัง ฝึกอาวุธป้องกันตนเอง สร้างป้อมค่ายล้อมรอบมุตโชโบ แม้จะไม่เข้ากับฝ่ายใดแต่การป้องกันตนเองก็เป็นความจำเป็น
ครั้นได้ยินข่าวว่าแม่ทัพหัวหน้าไทใหญ่ในกรุงอังวะกบฏตั้งตนเป็นกษัตริย์ของพม่าทางเหนือ ส่วนทางใต้มอญที่หงสาวดีก็กล้าแกร่งยกกองทัพเข้าตีพม่าบ่อย ๆ อองไจยะก็ตั้งปณิธานที่จะกอบกู้บ้านเมือง และเร่งสร้างค่าย คู รอบมุตโชโบ มีต้นหมากต้นมะพร้าวเป็นกำแพงเมืองเพื่อป้องกันอาวุธปืนยาว ปืนใหญ่ที่ใช้กันในกลุ่มกบฏต่าง ๆ
ด้วยความฉลาด และกล้าหาญ เป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง ทำให้ศรัตรูที่ยกกำลังมาโจมตี ล้อมรอบหมู่บ้านมุตโชโบต้องพ่ายแพ้ ถอยกลับไปทุกครั้ง จึงมีผู้ศรัทธา ผู้รักชาติบ้านเมืองต้องการกู้ชาติหลั่งไหลเข้ามาร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก หมู่บ้านมุตโชโบจึงมีทั้งทหารหนีทัพ นักปราชญ์ราชบัณฑิตจากราชสำนัก นักเขียน นายช่างต่าง ๆ นักบวช และราษฎรที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น มารวมพลังกันเข้มแข็งขึ้นทุกวัน และหมู่บ้านก็กลายเป็นเมือง เมื่อสถาปนาอองไจยะเป็นกษัตริย์ก็เปลี่ยนเมืองเป็น ชเวโบ
กษัตริย์ทรงพระนามว่า อลองพระ หรือ อลองพญา (Alaungpaya ) ภาษาพม่าออกเสียงเป็น “อลองเมงตะยาจี” หมายถึงพระโพธิสัตว์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญานั่นเอง ด้วยเชื่อกันว่าพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์มาปราบยุคเข็ญพระองค์ประกาศตนเป็นเชื้อสายแห่งตะโก้ง พุกาม อังวะ และพะโค และมีประณิธานจะสร้างพม่ายุคใหม่ให้ยิ่งใหญ่กว่า
นี่คือปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ อลองพญา (ค.ศ.๑๗๕๒-๑๘๘๕) ตั้งชเวโบเป็นราชธานี ขณะนั้นอลองพญามีพระชนมายุ ๓๘ ชันษา
ชเวโบเป็นเมืองหลวงถึงปี ๑๗๖๓ ก็ย้ายไปที่กรุงอังวะ และในปี ๑๗๘๓ย้ายไปอมรปุระ ย้ายกลับไปอังวะ กลับมาอมรปุระอีก จนในปี ๑๘๕๙ จึงสร้างกรุงมัณฑเลย์เป็นราชธานี และมัณฑเลย์ก็เป็นเมืองหลวงจนถึงปีสุดท้ายแห่งราชวงศ์พม่า ในปี ๑๘๘๕ ในรัขสมัยของพระเจ้าธีบอ
แม้จะครองราชย์เป็นกษัตริย์อยู่ช่วงระยะสั้น ๆ เพียง ๘ ปี แต่พระเจ้าอลองพญาถือเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ๑ ใน ๓ ของกษัตริย์พม่า คือ
๑ พระเจ้าอโนรธามังช่อ กษัตริย์ราชวงศ์พุกาม
๒ พระเจ้าบุเรงนอง กษัตย์ราชวงศ์ตองอู
และ ๓ พระเจ้าอลองพญาแห่งราชวงศ์อลองพญา ทรงปราบพวกมอญ ขับไล่อังกฤษ ฝรั่งเศสออกจากราชอาณาจักร ในปี๑๗๕๕ ก่อตั้งเมืองย่างกุ้งจากหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ให้เป็นเมืองท่าสำคัญ
ในปี ๑๗๕๙ ทรงต้องการครอบครองชายฝั่งตะนาวศรีซึ่งขึ้นอยู่กับอยุธยา และกบฏชาวมอญมักหนีไปพึ่งอยุธยาอยู่จึงยกกองทัพใหญ่สู่อยุธยาสมัยพระเจ้าเอกทัศน์แต่มาล้อมกรุงอยู่ได้ไม่นานพระองค์ก็ทรงประชวรจึงต้องยกทัพกลับ และสิ้นพระชนม์ต้นปี ๑๗๖๐นั่นเอง ทรงครองราชย์อยู่เพียง ๘ ปี หลังจากนั้นมาอีก ๗ ปี(ค.ศ.๑๗๕๙)พระราชโอรสผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ได้ยกกองทัพใหญ่กลับมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกจนอยุธยาแตกพ่ายในที่สุด
ราชวงศ์ อลองพญา หรือ คองบอง ของอองไจยะจึงเป็นราชวงศ์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรพม่าโดยแท้จริง เมื่อกษัตริย์อ่อนแอและลัทธิล่าอาณานิคมรุกเข้ามาก็สามารถกลืนกินตั้งแต่ทางตอนใต้ชายฝั่งทะเล และทางตะวันตกที่ติดกับอินเดีย จนในที่สุดก็เจาะถึงไข่แดงใจกลางแผ่นดินแห่งลุ่มน้ำอิรวดีอันอุดมสมบูรณ์ทั้งหมด จากอองไจยะกษัตริย์หนุ่มผู้เข้าแข็ง กล้าแกร่ง นำพาผู้คนกู้ชาติบ้านเมือง จนรุ่งเรืองแผ่อาณาเขตออกไปไพศาล สืบทอดต่อกันมาอีกหลายสมัยกษัตริย์จนถึงพระเจ้าธีบอ
เจ้าชายธีบอ หรือหม่อง ปู (Maung Pu) เป็นโอรสของพระเจ้ามินดง ประสูติในปี ๑๘๕๙ (พ.ศ.๒๔๐๒) ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองสีป่อ เมื่อขึ้นครองราชย์ในปี๑๘๗๘จึงได้พระนามสีป่อ ได้เสกสมรสกับพระนางศุภยาลัต ซึ่งเป็นพระธิดาของพระนางอเลนันดอ มเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้ามินดง ศุภยาลัตจึงเป็นพระขนิษฐาร่วมพระบิดาเดียวกัน พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์โดยความช่วยเหลือและแผนการของพระนางเลนันดอ ทรงอ่อนแอ และถูกควบคุมโดยสตรีและขุนนางฉ้อฉล จนในที่สุดต้องพ่ายแพ้แก่อังกฤษ พระองค์พร้อมด้วยมเหสีต้องถูกควบคุมตัวไปอยู่เมืองรัตนคีรีในอินเดียอันห่างไกลในปี ๑๘๘๕(พ.ศ.๒๔๒๘) และสิ้นพระชนม์ในอีก ๓๐ ปีต่อมา ส่วนพระนางศุภยาลัตได้รับอนุญาตให้กลับมาพม่ามาอยู่ย่างกุ้งจนสิ้นพระชนม์ในปี ๑๙๒๕
๐๐๐๐๐
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก ประวัติศาสตร์พม่า A History of Burma โดย หม่อง ทิน อ่อง