ในคมขวาน๘
ดอกเผิ้ง...ดอกไม้สู่สรวงสวรรค์
“สาวภูไท”
ลมหนาวโชยผ่านทุ่งกว้าง โล่งลิ่ว เสียงหวิวหวีด ฤดูเก็บเกี่ยวเพิ่งผ่านพ้น ผืนทุ่งสีทองกลายเป็นสีน้ำตาลในม่านหมอกแห่งอรุณรุ่ง ข้าวเหนียวนึ่งหอมกรุ่นส่งอายไออยู่เหนือหวดที่ตั้งบนเตาถ่าน ปลาสด ๆ คลุกเกลือจี่ย่างอยู่ข้างเตา เสียงน้ำมันปลาหยดลงถูกถ่านไฟแดง ๆ ดังฉู่ฉี่ ๆ ส่งกลิ่นหอมอวลอบ ผสมกลมกลืนกับกลิ่นอายข้าวใหม่ กระจายกลิ่นอายอวลอุ่น และอิ่มเอมครอบคลุมบรรยากาศแห่งบ้านนา คราลมหนาวพลิ้วผ่าน
ข้าวใหม่ ปลามัน มาพร้อมกับลมหนาว บุญเข้ากรรม บุญข้าวจี่ รออยู่ข้างหน้า บุญแจกข้าวของบางครอบครัวถูกเตรียมการ รอเวลาเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยว หลายบ้านจัดหาขี้เผิ้ง(ผึ้ง – bee wax ) ไว้พร้อมแล้ว เพื่องานบุญของครอบครัวที่ผัดผ่อนมาแต่หน้าฝน
ฟ้าโปร่ง แดดสวย ทุ่งโล่งและลมโชยพลิ้ว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเทศกาลงานบุญ โดยเฉพาะบุญอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้สมาชิกในครอบครัว ในตระกูลผู้ล่วงลับ
บุญต้นดอกเผิ้ง ไงล่ะ
เป็นงานบุญที่จัดทำขึ้นเพื่อส่งสายบุญ สายใยรักของสมาชิกในครอบครัวผู้อยู่เบื้องหลังไปให้ผู้ล่วงหน้าไปก่อนบนสรวงสวรรค์
ฤกษ์งาม ยามเหมาะ ก็เมื่อฟ้าโปร่ง แดดสวย ๆ ลมรวย ๆ ช่วยหอบเมฆฝนห่างหาย และการเก็บเกี่ยวผลิตผลในไร่นาผ่านพ้นไปอยู่ในยุ้งฉางแล้ว เป็นช่วงว่าง ๆ ของชาวบ้านทุ่ง
บุญต้นดอกเผิ้ง
นับเป็นบุญรวมพี่รวมน้องป้องปลาย ที่อยู่ห่างไกล กรุงไท กรุงเทพ หรือเมืองนอก เมืองนา ก็จะมาตุ้มโฮมโอบอุ่น ชื่นบาน ช่วยกันส่งบุญ ช่วยกันติดดอกเผิ้งในปราสาท หรือต้นดอกเผิ้ง แบบร่วมด้วยช่วยกัน
“ไปตามพ่อใหญ่ช่างแทงหยวกมาที”
ด้วยฝีมือการแกะสลัก (สับ หรือแทง) หยวกให้เป็นลวดลาย แล้วประกอบกันเข้าเป็นคล้ายสิ่งปลูกสร้าง ที่อยู่อาศัย สำหรับดวงวิญญาณที่ล่วงหน้าไปสรวงสวรรค์ จะให้เป็นคฤหาสน์ กระท่อม หรือปราสาทก็แล้วแต่ความพอใจของผู้จะส่งไปและช่าง พ่อใหญ่นักแกะสลักหยวกกล้วย ซึ่งหายากขึ้นทุกวัน เพราะผู้คนในยุคสมัยมีอะไร ๆ หันเหให้สนใจมากมาย มากกว่าจะมาหัดเป็นช่างแกะสลักหยวกกล้วย ซึ่งไม่มีค่าจ้างค่าออน รับแต่น้ำใจไมตรีความเป็นพี่น้องญาติโกโหติกาแทนอยู่ร่ำไป ซึ่งคนยุคใหม่เห็นค่าน้อยลงทุกวัน
ช่างแกะสลักหยวกกล้วยจึงมีคิวยาวในเทศกาลงานบุญต้นดอกเผิ้ง เจ้าของงานหลายแห่งจึงแก้ปัญหาด้วยการหาวัสดุอื่น ๆ มาทำแทน โดยเฉพาะโครงที่จะเป็นตัวปราสาท(ต้น) อาจใช้ชั้นวางของที่ทำด้วยพลาสติก กล่องกระดาษ กล่องโฟม ที่หากันได้ง่าย ๆ ใช้กาบของต้นกล้วยมัด ๆ แปะ ๆ พอได้ติดดอกเผิ้งตามพิธีเท่านั้น
ต้นดอกเผิ้งที่เคยเป็นรูปปราสาท มีศิลปะการแกะสลักหยวกกล้วยสวยงาม จึงกลายเป็นบ้านกล่องแบบคอนโดขึ้นมาแทน
แต่ก็ช่างเถอะทุกสิ่งต้องผันแปรไปตามยุคสมัย ที่สำคัญสำหรับงานนี้คือต้องติดดอกเผิ้ง จึงจะถูกต้องตามประเพณีมาแต่โบราณ แม้เผิ้งจะหายากก็ขอให้มีบ้างเป็นสัญลักษณ์ก็เอาละ
ดอกเผิ้ง
ก็คือดอกไม้ที่ประดิษฐ์ขึ้นจากขี้ผึ้ง
เทคนิคการทำก็คือ นำก้อนขี้ผึ้งมาใส่ภาชนะ เช่น หม้อ หรือกระทะ ตั้งไฟให้ร้อนจนละลายกลายเป็นของเหลว ใช้พิมพ์ที่จัดทำไว้แล้วจุ่มลงไป ยกขึ้นไปจุ่มน้ำเย็นขี้ผึ้งรูปร่างตามพิมพ์ก็จะหลุดล่อนออกมา
วัสดุแบบพิมพ์ที่ชาวบ้านอีสานใช้มาเป็นประจำก็คือ มะละกอดิบ เพราะตรงปลายมีเหลี่ยมมุมที่ออกมาเป็นดอกไม้ได้พอดี สวยงาม และหาง่าย ต้องการดอกใหญ่ดอกเล็กก็ใช้ลูกมะละกอตามขนาดที่ต้องการได้ ลูกใดไม่พอดี เหลี่ยมมุมไม่สวยก็เฉือน ฝานตกแต่งได้สะดวก
วัสดุนอกนั้นก็อาจใช้ก้านกล้วย หัวมันเทศ แตงกวา แตงร้าน ฯลฯ ตัด เฉือนให้ได้รูปร่างตามต้องการ
ต้นดอกเผิ้ง ทำจากหยวกกล้วยสับลาย มีโครงไม้ไผ่ก่อขึ้นเป็นรูปทรงปราสาท ใช้ดอกเผิ้งเสียบ ติด แปะ โดยรอบอย่างมีศิลปะให้สวยงามนี้ เป็นเสมือนเรือน คฤหาสน์ หรือบ้านสำหรับญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ภายในจึงบรรจุด้วยสิ่งของจำเป็น เงินทอง ขนมนมเนย เครื่องอุปโภค บริโภคที่ญาติผู้อยู่ข้างหลังจะส่งไปให้บนสรวงสวรรค์
ดอกเผิ้งจึงเป็นสื่อสู่สรวงสวรรค์ด้วยประการดังกล่าว
โดยทั่วไปต้นดอกเผิ้งจะจัดทำขึ้นที่บ้านโดยนิมนตร์พระสงฆ์มาประกอบพิธีทางศาสนา แล้วจึงถวายต้นดอกเผิ้งแก่พระ หรือวัด
โอกาสที่ทำ แล้วแต่ความสะดวกของเจ้าภาพ โดยมากมักทำในช่วงเก็บกระดูกที่เรียกว่าทำบุญกระดูก อาจ ๓ วัน ๗ วัน หลังจากเผาศพแล้ว หรืออาจเป็น ๙๐วัน ๑๐๐วัน หรือรอความพร้อมของญาติ ๆ ในครอบครัวจนถึงเทศกาลหลังฤดูเก็บเกี่ยวของแต่ละปีก็มีมาก
ประเพณีบุญต้นดอกเผิ้งของชาวอีสาน แต่โบราณมาจนปัจจุบันมีอยู่ ๒ โอกาส คือ
๑ ประเพณีทำบุญส่งให้ผู้ตายดังกล่าวข้างต้น
๒ ประเพณีทางพุทธศาสนา ในช่วงเข้าพรรษา และออกพรรษา จะมีการทำปราสาทเผิ้งไปถวายวัดเป็นพุทธบูชา ปัจจุบันประเพณีแห่ปราสาทผึ้งที่ยิ่งใหญ่เป็นงานประจำปีระดับจังหวัดก็คือ แห่ปราสาทผึ้งที่จังหวัดสกลนครค่ะ
๐๐๐๐