กิ่งคำปายกับยายทวดโดยเอื้อยนาง
๒๐.จากภูดิงโก้ ถึง เครือเขากาด
ตัมบู กับมามิริ ยังคงนำหน้าสองหนุ่มสาวบุกเข้าในป่าลึก เพื่อหลบหนี
ความผิดอันยิ่งใหญ่ที่ตราตรึงในใจทำให้ขาทั้งสองมีพลังบุกบั่นเข้าพงไพร โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหลังเป็นอย่างไร
ฟ้าสว่างมากแล้ว สัตว์ป่าหลายชนิดเริ่มออกหากิน แต่วอมแบตน้อยในอ้อมแขนของกิ่งคำปายกลับได้เวลาง่วงงุน เมื่อไม่มียายทวดอยู่ ธรรมชาติของมันก็กลับคืนมา มันจึงต้องการพักผ่อนหลับนอนในตอนกลางวัน ซึ่งเป็นผลดีแก่เด็กสาวผู้เฝ้าประคับประคองมันไว้คอยยายทวด
“มันดูน่ารักนะ ให้ผมช่วยอุ้มบ้างก็ได้”
โรบินสันแสดงน้ำใจ กิ่งคำปายเองก็รู้สึกว่าแขนเริ่มอ่อนล้าปวดเมื่อยขึ้นมาบ้างเหมือนกันจึงส่งมันให้เขาช่วยอุ้มแต่โดยดี
ตัมบูพาทุกคนมาหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ลำต้นอันใหญ่โตของมันเหยียดยืนแนบชิดกันจนดูคล้ายกำแพงต้นไม้ กิ่งก้านทีแผ่ออกมาสอดสานกันเกิดเป็นโพรงอยู่ภายใน เหมือนมีใครจงใจปลูกเรียงไว้เป็นวงกลม โอบล้อมด้านในให้เป็นเหมือนกำแพงบ้านมั่นคง แต่ละต้นช่างใหญ่โตคงมีอายุหลายร้อยปีแล้ว บางต้นคงหลายคนโอบไม่มิด
กระต่ายป่าสองตัวกระโดดแผล็วออกมาจากภายในโพรง และหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นผู้คนเดินเข้ามาใกล้
“คงไม่มีใครตามมาแล้ว”
ตัมบูหนุ่มน้อยผิวคล้ำพูดเสียงสั่น พลางใช้สายตาคมเฉี่ยวสอดส่ายสำรวจโดยรอบแล้วมุดเข้าไปในช่องที่กระต่ายเพิ่งกระโดดออกมา
“เราหลบกันในนี้ดีไหม”
มามิริชวนกิ่งคำปายตามเข้าไปบ้าง ทำให้โรบินสันก้มตัวสูงโย่งของเขาตามเข้าไปด้วยอย่างยากลำบาก เพราะตัวสูงใหญ่กว่าใครเพื่อน ช่องทางที่เพื่อนพากันมุดเข้าไปก็เล็กเกินไปสำหรับเขา กลิ่นอับฉุนจากการหมักหมมของมูลสัตว์และใบไม้ กิ่งไม้ทำให้เขาจามออกมา เสียงฮัดเช้ย
ภายในโพรงมืดสลัวเพราะแสงส่องเข้ามาไม่ถึง ด้วยมีกิ่งไม้ใบไม้เบื้องบนสอดสานปกคลุมรกเรื้อ เหมือนเป็นหลังคาธรรมชาติกันแดดฝน
“ว๊าย !!...”
ทันใดนั้นกิ่งคำปายถึงกับหวีดร้องออกมา เมื่อสายตาเธอเหลือบไปเห็นงูตัวใหญ่ตัวหนึ่งขดตัวนิ่งอยู่บนค่าคบไม้ที่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะ ตัมบูกระโดดเข้ามาใช้มือปิดปากเธอไว้ทันที ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน โรบินทำสัญญาณมือให้ทุกคนกลับออกไป มามิริเร็วก่อนเพื่อนเธอมุดออกไปทันที คนื่น ๆ ค่อย ๆ พากันถอยหลังกลับออกมาสู่ด้านนอกอีกที
“ที่นี่มีเจ้าของ”
หนุ่มชาวเผ่าบอก มองกิ่งคำปายด้วยสายตาแสดงถึงความเสียใจ ที่พาเข้าไปให้พบกับความอกสั่นขวัญแขวน กิ่งคำปายพยักหน้าวิ่งตามมามิริให้ห่างจากตรงนั้นที่สุดมีตัมบูและโรบินสันตามติด
“มีเจ้าของหรือ”
โรบินสันยังข้องใจแม้เมื่อกันหลบลัดเลาะออกมาจนไกลจากต้นไม้โบราณกลุ่มนั้นแล้ว
“ใช่ต้นไม้ใหญ่ ๆ บางต้นก็มีเจ้าของสิงสู่อยู่แล้ว อย่าว่าแต่บริเวณนี้เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมาเคอจูลา”
มามิริอธิบายแทนลูกพี่ลูกน้อง พลางใช้แขนป้ายเหงื่อที่หน้าผาก แสงแดดเริ่มกล้า อากาศเริ่มร้อนความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาเยือน แต่ตัมบูยังเดินนำบุกไปไม่หยุดเด็กสาวจึงประท้วงขึ้นมาว่า
“ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้วนะตัมบู เมื่อไหร่จะหยุดพักสักที คงไม่มีใครตามมาแล้วหละ”
“ทนอีกหน่อยสิ มามิริเจ้ามองเห็นภูเขาลูกโน้นไหม” เขาชี้มือประกอบ “ข้าคิดว่าคงเป็นภูดิงโก้ที่พวกผู้เฒ่าเคยเล่าถึงนะ ที่ตีนภูนั้นจะมีถ้ำและผาหิน เราจะไปให้ถึงที่นั่นแล้วค่อยพัก”
แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ทุกคนก็เชื่อฟังตัมบูแต่โดยดี กิ่งคำปายนึกถึงยายทวด เธอกำจี้ห้อยคอแน่นพลางเรียกหายายทวดและโมบายอยู่ในใจ
“จิงโจ้โมบายก็หายเงียบไปเลย ผมเป็นห่วงเขาจัง”
โรบินสันบ่นเหมือนรู้ใจ กิ่งคำปายได้แต่บอกเขาว่าอย่าห่วงเลย ผีทำอะไรที่คนธรรมดาอย่างเราทำไม่ได้ตั้งหลายอย่าง ทั้ง ๆ ใจจริงตัวเองก็เป็นกังวลเช่นกัน ด้วยไม่รู้ว่าแสงสีรุ้งที่ยายทวดติดตามไปนั้นคืออะไร มันล่องลอยไปทางไหน ในโลกอันกว้างใหญ่รกร้างนี้ ยายทวดจะมีอันตรายหรือเปล่า โมบายนั้นเล่ากลับไปสู้กับชาวเผ่าถูกเขาทำร้ายหรือไม่
“เขาเป็นคน...” โรบินสันไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดก็สรุปออกมากระท่อนกระแท่นว่า “สัตว์....ผี...ที่กล้าหาญนะ”
“เขาเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เราเป็นนักเรียนด้วยกันแล้วค่ะ เขามักออกหน้าปกป้องฉันเสมอ ยามถูกเด็กผู้ชายซน ๆ รังแก”
กิ่งคำปายเริ่มคิดถึงความหลังน้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ แต่แล้วก็สลัดความคิดเปลี่ยนเสียงเป็นร่าเริงว่า
“ยายทวดคงดูแลเขาเองแหละ ป่านนี้อาจพากันไปซุกซนที่ไหนในป่าใหญ่ก็ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ดีกว่าเราที่ไม่รู้จักหิว”
พูดถึงความหิวมามิริลูบท้องขึ้นมาทันที เธอคว้ามือกิ่งคำปายเพื่อนใหม่ต่างเผ่าพันธุ์พาแวะดูตามพุ่มไม้ ก็สอดส่ายสายตาหาผลไม้ป่า เห็นแล้วก็คว้ามาใส่ปากอย่างรวดเร็ว แถมแบ่งปันชี้ชวนให้เพื่อนสาวได้ลิ้มรสอันหวานฉ่ำของมันด้วย ตัมบูเห็นแล้วทำตามทันที เขายอมเสียเวลานิดหน่อยเพื่อบรรเทาความหิว โรบินสันทำงุ่มง่ามเก้งก้างตอนแรก แต่ครั้นได้ลิ้มลองบ้างเขากลับเป็นผู้ได้เปรียบสุดเพราะความสูงและแขนยาว ๆ ของเขา สองสาวจึงหันมาขอกินจากเขาบ้าง
“บลูเบอรี่ป่า” เขาเรียกผลไม้เล็ก ๆ สีม่วงคล้ำทีรสหวานฉ่ำนั้น ตัมบูเดินห่างออกไปชั่วประเดี๋ยวเขาก็ได้รวงผึ้งที่มีน้ำหวานเยิ้มมาบิแบ่งทุกคน
“ป่าใหญ่ก็เหมือนซุปเปอร์มาเก็ตนั่นแหละนะคะ โรบินสัน”
กิ่งคำปายกินพลางชวนคุย พยายามทำเสียงและสีหน้าให้ร่าเริง ปิดบังความกังวลของตนเอง ไม่อยากเห็นเขาทำหน้าเศร้าทดท้อไปอีกคน ถึงอย่างไรก็ต้องพากันต่อสู้ฝ่าฟันจนกว่าจะออกจากป่า หาทางกลับสู่โลกภายนอกได้
“จริงหรือครับผมไม่ยักรู้”
“อ้าว ไม่อย่างนั้นชาวประชาในค่ายทั้งหลายที่เราเห็นเขาจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร จริงไหมคะ เขาไม่ได้ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ หรือสร้างโรงงานผลิตอาหารใด ๆ เลย”
โรบินสันได้แต่พยักหน้ายอมรับ มองตามมือเรียวยาวสีคล้ำว่องไวของสาวน้อยมามิริที่มุดเข้าในพุ่มหนามคว้าเอาผลไม้ใบไม้หลากหลายชนิดตามรายทางมานำเสนอให้ลิ้มลองแล้วยิ้มออก
“อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีมามิริ กับตัมบูผู้เชี่ยวชาญในพงไพรอยู่ด้วยละ”
เขาพูดอย่างมีความหวัง และศรัทธาในสองหนุ่มสาวเต็มเปี่ยม จึงมีอารมณ์ดีขึ้น และพูดกับกิ่งคำปายด้วยอารมณ์เป็นสุขขึ้นด้วย
“ในหนังสือของยายเล่าว่าบรรพบุรษของผม รุ่นแม่ของยายทวดน่ะ ท่านก็คงดำรงชีวิตในวิถีนี้แหละ มีความเชื่อ มีกฎกติกาข้อห้ามมากมายรุงรัง ยุ่งยาก และศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนในเผ่าต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอันตรายจากภัยธรรมชาติมากมายหลายสิ่งที่มนุษย์เรายังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ และอยู่รวมกลุ่ม ร่วมแรงร่วมใจกัน ผูกพันแน่นเหนียว ใช้ชีวิตง่าย ๆ เพียงหาใส่ปากใส่ท้อง แต่ไม่เดียวดายเหมือนคนในสังคมในปัจจุบัน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเข้ามาห่อหุ้มแทน และกีดกันคนด้วยกันออกไป”
“อยู่อย่างนี้ก็น่าสบายดีออกนะคะฉันว่า ไม่ต้องกังวลกับภาระมากมาย ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ไปเดินดงพงไพรชมนกชมไม้ หาอะไรได้ก็นำมารวมกันกินอิ่มหน่ ค่ำคืนก็ตีกลองร้องเพลง ไม่ต้องล้างถ้วยล้างชาม ไม่ต้องซักเสื้อผ้า ที่นอนหมอนมุ้ง....”
พูดมาถึงตอนนี้กิ่งคำปายก็ยกแขนของตัวเองขึ้นมาดมแล้วทำจมูกย่น รู้สึกคันเนื้อคันตัวยุบยิบขึ้นมาทันที เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูหนักอึ้งรุงรัง แถมมีหนังวอลล่าบีของมามิริพันอยู่รอบเอวอีก คิดถึงบ้านขึ้นมาแล้วอยากเปลื้องทุกอย่างออก แล้วเปิดน้ำฝักบัวให้ไหลซ่าลงมาชะล้างให้หายคัน
“อยากอาบน้ำจัง”
เธอว่า ก้มลงมองตัวเอง แล้วมองมามิริ ขาเรียวยาวคล้ำเนียนที่พอกด้วยน้ำมันผสมผงโอเคอร์ที่เมื่อวานมีเลือดไหลลงเป็นทาง แต่วันนี้มีเหงื่อผุดขึ้นมาแทน ฝ่ายนั้นก้มลงมองร่างตัวเองเช่นกัน แล้วทำอาการบอกให้รู้ว่าเธอเองก็อยากชำระกายเต็มทีแล้วเหมือนกัน
“ใกล้จะถึงภูดิงโก้แล้วหละ”
ตัมบูดึงความสนใจของทุกคนไปที่ภูเขาข้างหน้าอันเป็นจุดหมาย เขาชี้มือให้ทุกคนได้เห็นและถามอย่างตื่นเต้นว่า
“ดูซีรูปร่างของมันเหมือนหมาดิงโก้นั่งแหงนคอขึ้นเห่าหอนไหม”
“ใช่แล้ว....รูปร่างของมันเหมือนหมาจริงๆ ด้วย” กิ่งคำปายเห็นด้วยและถามทีเล่นทีจริงว่า “แต่ทำไมมันจึงแหงนเงยเห่าหอนอยู่อย่างนั้นด้วยนะ”
“เพราะครั้งหนึ่งตั้งแต่ยุคแห่งดรีมไทม์”
ตัมบูทำท่าเหมือนผู้อาวุโสในเผ่า เริ่มเล่าตำนานเท่าที่เขาจำได้ “มันเคยเป็นหมาตัวหนึ่งที่มีเจ้าของรักและผูกพัน วันหนึ่งเขาพามันมาล่าเนื้อ และพากันติดตามล่าจิงโจ้ตัวหนึ่งเข้าไปถึงดินแดนต้องห้าม ไปถึงบริเวณที่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์”
“ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หรือ มันเป็นต้นอะไร”
ใครบางคนถามขึ้น
“ใช่หละ....” หนุ่มน้อยผิวเข้ม ทำตาวาว น้ำเสียง ท่าทางราวกับผู้ทรงความรู้ประจำเผ่า “มันเป็นต้นไม้ที่มองไม่เห็น มันอาจอยู่ที่ใดที่หนึ่งในป่ารก ๆ เป็นต้นไม้ที่มีสะพานเชื่อมระหว่างพื้นแผ่นดินกับดินแดนแห่งเทพบนฟ้า คนที่บังเอิญเดินเข้าไปถึงต้นไม้ต้นนั้น จะมองเห็นสะพานอันสวยงาม และถูกมนต์ขลังเรียกร้องให้ก้าวเดินข้ามไป นั่นแหละเขาก็จะเดินทางจากโลกนี้ไปชั่วนิรันดร์ เช่นเดียวกับเจ้าของหมาดิงโก้ตัวนั้น เขาเดินทางข้ามสะพานนั้นไปแล้วกลายร่างเป็นดวงดาวที่ส่องแสงอยู่บนฟ้า ดิงโก้ที่จงรักภักดีเจ้าของนักหนาได้แต่นั่งแหงนคอ รอคอย จ้องมองดวงดาวจนตัวมันกลายร่างเป็นภูเขาอยู่อย่างที่เราเห็นนั่นแหละ และด้วยเหตุนี้เมื่อถึงฤดูกาลที่ดวงดาวนั้นมาปรากฏบนท้องฟ้า ก็จะได้เวลาที่ดิงโก้หอนเห่าเรียกหากันเพื่อผสมพันธุ์มาจนปัจจุบัน”
“ถ้าเราไปพบต้นไม้ต้นนั้นหละ”
กิ่งคำปายถาม แต่คำตอบคือความเงียบ ตัมบูหลบตาเธอ ทำสีหน้าครั่นคร้ามแล้วก้มหน้า กิ่งคำปายสบตาโรบินสันแล้วหันมองสำรวจรอบกาย คิดเป็นห่วงนางจิงโจ้โมบายที่ป่านนี้ยังไม่เห็นโผล่มา เกรงไปว่ามันจะหลงพลัดเข้าไปในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตัมบูเล่านั้นเข้า แล้วหายไปชั่วนิรันดร์
“เราต้องจับมือกันไว้มั่น ต้องตั้งสติอย่าหลงใหลในสิ่งที่เห็นตรงหน้า อย่าก้าวขึ้นไปบนสะพานนั้นเด็ดขาด อย่าเข้าไปใกล้จะได้ไม่ต้องถูกมนต์สะกดให้เดินเข้าหา”
มามิริที่เดินเพลินเก็บผลหมากรากไม้ออกไปไกลเพื่อน รีบกลับเข้ามารวมกลุ่มทันทีที่ตัมบูพูดจบประโยค ทำให้หนุ่มน้อยคลายสีหน้าหันมาหัวเราะอวดฟันขาว
และเสียงหัวเราะของเขาก็สะท้อนกลับ เมื่อมันกระทบหน้าผาสูงชันของภูดิงโก้
“ตำนานความเชื่อแบบนี้ไทลาวก็เคยมีเหมือนกันนะคะโรบินสัน”
กิ่งคำปายนึกถึงสมัยตัวเองเป็นเด็กที่ยายสร้อยสายคำกล่อมให้นอนด้วยกลอนลำ ที่มีเนื้อหาบอกเล่าเรื่องราว เป็นนิทานและตำนานจากความเชื่อมากมาย
“จริงหรือ เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
มามิริแสดงความสนใจเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะตัมบู เขาเคยแต่รับรู้ว่านอกอาณาเขตแห่งดินแดนมาเคอจูลาออกไปนั้น คือดินแดนแห่งวิญญาณ เขาจินตนาการไปไม่ถึงว่าในโลกอันกว้างใหญ่นี้ยังมีผู้คนอีกมากมายนัก แตกต่างจากเขาราวกับอยู่คนละโลก
“แต่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเรานั้นเป็นเถาวัลย์ ชื่อว่า เครือเขากาด” เด็กสาวเริ่ม “มันเป็นเครือเถาที่ยาวมากหยั่งจากเมืองฟ้าของพญาแถนลงมาถึงดินแดนมนุษย์ เพื่อเป็นเฉกเช่นบันไดให้ผู้คนไต่ขึ้นไปถึงแดนฟ้า แดนแห่งชาวแถนได้ และมนุษย์ก็ได้ใช้มันตลอดมา”
“แถนคือใครหรือ”
เสียงใครคนหนึ่งถาม ขณะเดินไปฟังไป
“แถนก็คือเทพบนฟ้า และเทพที่เป็นใหญ่กว่าเทพทั้งปวง ก็คือ พญาแถน หรือแถนหลวง เป็นผู้ที่สามารถดลบันดาลทุกสิ่งให้มนุษย์ได้ ในยามใดที่มีเหตุการณ์ทุกข์ร้อนเกิดขึ้นผู้คนก็จะพากันไต่บันไดเครือเขากาดขึ้นไปขอความช่วยเหลือจากพญาแถน พญาแถนผู้ใจดีมีเมตตาก็จะบันดาลให้สมดั่งใจทุกที หนัก ๆ เข้ามนุษย์เราก็เคยตัว ได้ไม่รู้จักพอ และขี้เกียจไม่อยากทำอะไร เอาแต่สนุกไปวัน ๆ อยากได้สิ่งใด มีอะไรขาดแคลนก็ได้แต่ไปขอแถนให้บันดาลให้อยู่วันยังค่ำ แม้แต่ในยามทะเลาะเบาะแว้งกันก็ไต่บันไดขึ้นไปฟ้องแถน ไม่รู้จักคิดการณ์แก้ปัญหาใด ๆ จนพญาแถนรำคาญ และอยากให้มนุษย์รู้จักช่วยเหลือตนเองก็เลยตัดเครือเขากาดทิ้ง มนุษย์จึงขึ้นไปหาพญาแถนอีกไม่ได้ตั้งแต่นั้นมา”
“เฮ้อ...ช่างน่าเสียดาย”
มามิริรำพึง นัยน์ตาเคลิ้มฝัน แต่กิ่งคำปายตัดบทว่า
“ใกล้จะถึงและภูดิงโก้ง”
ทุกคนเล็ดลอดพุ่มไม้ออกพ้นป่าทึบต้นไม้โปร่งโล่งจนมองเห็นภูดิงโก้ได้ทั้งลูก
ภูเขาลูกนั้นเป็นหินก้อนมหึมาที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นโลก รายรอบมันคือโขดหินตะปุ่มตะป่ำและต้นเฟิร์น ต้นปาล์มที่ใหญ่โตราวกับต้นตาล พรมหญ้าสีเขียว และดอกไม้หลากสีวับแวมแทรกซอนอยู่ตามรอยแยกของพื้นหิน มองคล้ายภาพเขียนอันวิจิตรที่จัดแสดงอยู่ชั่วนาตาปี
“คุณก็เคยอยู่ในออสเตรเลีย คุณน่าจะรู้บ้างนะคะโรบินสันว่าที่นี่เป็นที่ไหน มันเป็นภูเขาที่ดูแปลกประหลาด และพิเศษมาก มันคงมีชื่อเสียงให้คนรู้จักอยู่บ้างหรอกน่า”
สาวน้อยจากแดนอีสานหันมามองสบตาหนุ่มโย่งอย่างมีความหวัง แต่ฝ่ายนั้นแหงนมองภูเขาเบื้องหน้าแล้วกลับส่ายหน้า
“ผมไม่รู้หรอก ประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีอะไรแปลกแยกแตกต่างมากมายเกินกว่าคน ๆ หนึ่งจะรู้ได้หมด มันอาจอยู่ในอุทยานแห่งชาติ หรือมรดกทางธรรมชาติของโลกแห่งใดแห่งหนึ่งในเกาะเก่าแก่ และมีธรรมชาติแปลก ๆ ตกทอดมาจากยุคดึกดำบรรพ์มากมายเกาะนี้ก็ได้”
เขาหันมาสบตา เห็นสีหน้าคนถามที่แสดงความผิดหวังออกมาจึงเอยขอโทษเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล
“ผมเสียใจจริงๆ นะ ที่ตอบคุณไม่ถูก ผมเองก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ที่ไหน จะออกจากที่นี่ไปได้อย่างไร”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ” เธอยิ้มให้กำลังใจเขา “บางทียายทวดอาจช่วยเราได้นะคะ”
“นั้นซีแล้วตอนนี้ยายทวดอยู่ที่ไหนล่ะ”
ไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้ หนุ่มโรบินสันลูบหัววอมแบตในอ้อมแขนเบา ๆ เหมือนจะหาคำตอบจากมันด้วย แต่เจ้าสัตว์น้อยเอาแต่นอนอุตุไม่รับรู้สิ่งใด มาถึงตอนนี้มันรู้สึกคุ้นเคย และเป็นสุขในอ้อมแขนของมนุษย์จนไม่อยากจากไปไหนแล้ว
********