Incredible อินเดีย
“เอื้อยนาง”
๒.กะลัมชา กะลัมจาย
ก่อนมาอินเดีย ได้ยิน ได้อ่าน ได้รับคำถามถึงอย่างแปลกใจว่าไปได้ไงอินเดีย
ใครที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่าไปอินเดียเลย...ขอบอก
แต่คณะนักบุญแสวงบุญของเรานี้ที่มีชาวคณะเป็นบุคคลหลากหลายวัย หลากหลายอาชีพ มารวมตัวกันดั่งสำนวนฮิตที่ว่า “ธรรมะจัดสรร” มาอินเดียด้วยใจ ทุกคนจึงดูสบาย ๆ และมีใบหน้าที่อิ่มบุญแสดงถึงความ ปีติที่เกิดขึ้นจากการท่องไป ปฏิบัติธรรมไป ในแดนธรรมครานี้อย่างเปี่ยมล้น ก่อนมาผู้เขียนนั้นไม่รู้จักใครเลยในคณะ ปรากฏว่ากลายเป็นมีพี่ มีน้อง มีหลาน มีท่านพระครู หลวงตา หลวงพี่ หลวง...(อะไรดีหว่า... พระที่อายุน้อย ๆ น่ะ จะเรียกหลวงลูก หลวงหลาน ก็ไม่เคยเห็นใครเขาเรียกนี่นา) ให้อบอุ่นใจ มีความห่วงใย มีความอาทรให้กันและกันตลอดเส้นทาง แม้วันท้าย ๆ จะมีเรื่องขลุกขลักเกิดขึ้นบ้าง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี มีสวัสดิภาพกลับมาพบเจอการเมืองเรื่องยุ่ง ๆ ในเมืองไทยกันต่อไป
เพราะอินเดียนั้นเป็นแดนมหัศจรรย์พันลึก Incredible อย่างว่า
อย่างแรกที่ต้องสัมผัส เมื่อเข้าใกล้เขตเมืองคยาฟ้าเริ่มสาง แสงแดงเรื่อเจือทองจับขอบฟ้าเหนือภูเขา และแนวป่า งามจับตา ท่ามกลางป่าดงพงไพร นกกากู่ร้องถลาบินออกจารวงรัง โชเฟอร์หน้าเข้มนัยน์ตายิ้มของเราปิดเสียงแตรอันเว้าวอน แตะเบรคพลางพารถชิดขอบถนนแล้วจอด ให้พวกเราลงไปเข้าส้วมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผนังส้วมเป็นพุ่มไม้ใบบัง หลังคาคือฟ้ากำลังสาง ท่ามกลางสายลมหนาวที่โบยพลิ้ว
“คุณป้าลงไปเถิดหนูไม่ปวด”
คุณหมอน้ำตาลผู้เป็นหลานป้าภายในหนึ่งชั่วโมงที่ได้รู้จักกันบอก พลางเบี่ยงตัวให้ทางเดิน
“จะดีรื้อ...เดี๋ยวเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะยุ่งนา”
เราให้เธอชั่งใจ ก็เธอเป็นหมอนี่นาเที่ยวต่อ ๆ ไปเธอจึงเดินนำหน้าลงรถไปก่อนแน่ะ (แม้ว่าบางครั้งเธอแค่ลงไปถ่ายภาพก็ตาม)
กา กา กา.....
เจ้านกตัวใหญ่สีดำบนต้นไม้สูง(ดูเหมือนจะเป็นต้นมะกอก) มันส่งเสียงร้องมาทักทาย ขณะเราย่อง ๆ มอง ๆ หาพุ่มไม้พอได้บดบังสายตา(ตนเอง เพราะไม่ใครอื่นจะสนหรอก) หอบผ้าฝ้ายลายอีสานบ้านเกิดผืนเก่าสารพัดประโยชน์ไปเป็นมุ้งดูรุงรัง จนเจ้ากามันหมั่นไส้ส่งเสียงทักไม่หยุด
“กาเห็นก็ช่างกาเถิด”
เราคิดในใจขณะหอบผ้ากลับออกมาจากพุ่มไม้ใบบัง
“พี่ ๆ เสร็จแล้วหนูขอยืมผ้าของพี่ใช้บ้างได้ไหม”
มีเสียงดังมาจากชาวคณะคนหนึ่ง ซึ่งเราก็ยื่นให้ด้วยความยินดี ทำให้เจ้านกกาบนต้นมะกอกค้อนควับ แล้วบินจากไปด้วยความผิดหวัง ปล่อยให้เสียงนกอื่น ๆ ส่งเสียงดังจ้อกแจ้กขึ้นมาแทน มันคงแอบดูแขกบังพุ่มไม้มานานจนเบื่ออยากดูไทยบ้างกลับมีผ้าผืนโตมาปิดบังซะนี่
เสร็จกิจกันแล้ว เสียงแตรว่า ไป ไป ไป...ก็ดังขึ้นพร้อมกับล้อรถหมุน ฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้น สามารถถ่ายรูปข้างทางได้ รถมาจอดอีกทีเพื่อพักดื่ม “กะลัมชา” กัน ตรงจุดที่มีรถบรรทุกคันใหญ่ ๆ ยาว ๆ จอดกันเป็นแถว หลวงพ่อให้สังเกตรถอินเดียไม่ว่าคันใหญ่คันเล็กทำด้วยเหล็กหนา ๆ ล้วน ๆ
“อินเดียมีเหล็กเยอะ”
ขณะมัวเดินหามุมถ่ายรูปจนเนิ่นช้าตามประสาเราอยู่นั้น เสียงคุณกิตติชัย กับผู้ช่วยหนุ่มแขกหน้าหล่อของเขาก็ร้องบอกมาว่า
“กะลัมชา กะลังใจ กันนะคร๊าบ”
กะลัมชา น้ำชาร้อน ๆ น่ะเอง ที่แท้จุดนี้คือจุดพักรถของนักเดินทางเพื่อดื่มน้ำชา กาแฟกัน มีบ้านเรือนพักนอนและอู่ซ่อมรถอยู่ข้าง ๆ พร้อมคอกวัว-ควาย ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีทุกบ้าน ทุกหน เพราะชาวอินเดียเขาเลี้ยงมันไว้ใช้งานและดื่มนมของมัน
ร้านน้ำชาตั้งอยู่ในที่เหมาะอย่างยิ่ง คือใกล้พุน้ำร้อนที่เขาก่ออ่างซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมรองรับน้ำไว้ใช้สอยดื่มกิน น้ำในอ่างมีควันพวยพุ่งขณะพวกเราแวะเข้าไป
ฝูงเป็ดไก่หากินอยู่ใกล้หนองน้ำที่อยู่ต่ำลงไป(หมอน้ำตาลมากระซิบว่าเธอเห็นพวกมันทะเลาะกันด้วยละ...ฮ่วย) เด็กชายชาวแขกหลายคนยืน ๆ นั่ง ๆ ล้อมรอบเตาไฟที่ต้มน้ำร้อนเพื่อชงชาเพื่อหาความอบอุ่น
เตาต้มน้ำร้อนจึงเอื้อประโยชน์ให้ทั้งผู้ต้องการน้ำร้อน และผู้ต้องการไออุ่นจากเปลวไฟ ที่มุมห้องมีผู้ชายกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวิทยุฟังเพลงแขกทำนองสนุกกันอย่างไม่สนใจแขกที่เป็นไทยผู้มาเยือน อีกมุมเป็นที่ตั้งตะกร้าผักผลไม้ มะเขือเทศ แครอท พริก จึงเดาได้ว่าที่นี่คงทำอาหารขายนักเดินทางด้วย แต่ขณะนี้ยังเช้าอยู่จึงยังไม่มีการประกอบอาหาร
อุ่นกระเพาะด้วยกะลัมชากันแล้วรถก็เคลื่อนที่อีก คราวนี้เสียงสวดมนตร์ อะระ หัง สัมมา.. .นำโดยหลวงพ่อก็ดังขึ้น ทุกคนในรถพนมมือพร้อมใจประสานเสียง เพื่อรำลึกบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทำใจให้สงบ สะอาด
ถึงแล้วเมืองคยา รัฐพิหาร ที่ครั้งหนึ่งเมื่อกว่าสองพันปีก่อนในครั้งพุทธกาล ที่แห่งนี้คือ
ตำบล อุรุเวลาเสนานิคม ในแคว้นมคธ
สมัยพุทธกาล แคว้นมคธ เป็นแค้วนสำคัญ เจริญรุ่งเรือง มีกรุงราชคฤห์เป็นเมืองหลวง และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญยิ่งของพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธองค์(ยังคงเป็นเจ้าชายสิทธถะ)เสด็จออกบวช ได้ตรงมายังแคว้นมคธ ตลอดระยะเวลา ๖ ปีของการบำเพ็ญเพียรแสวงหาโมกธรรม หรือก่อนตรัสรู้นั้น พระองค์ประทับอยู่ในแคว้นมคธ จนกระทั่งทรงบรรลุพระอุตตระสมโพธิญาณ(ตรัสรู้) ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งปัจจุบันมีพระมหาเจดีย์ และต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นที่หมายจุด เรียกชื่อว่า พุทธคยา (Buddhagaya) หรือ โพธคยา (Bodh Gaya) หรือวิหารมหาโพธิ์ อยู่ห่างจากตัวเมืองพุทธคยาในปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร
เราเข้าพักและทานอาหารเช้ากันที่ วัดไทยพุทธคยา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนั้นไม่มากนัก สามารถเดิน(ฝ่าฝูงชน)ถึงได้ในเวลาประมาณสิบนาทีสบาย ๆ
๐๐๐๐๐
ยังมีต่อ