กิ่งคำปายกับยายทวด
โดยเอื้อยนาง
๒๑.ถ้ำศักดิ์สิทธิ์
ผาหินสูงชัน ตรงหน้าผู้พลัดบ้านทั้งสี่มองตระหง่านตระการตา อันเป็นด้านหนึ่งของภูเขาลูกนั้น มีลักษณะคล้ายกับถูกคมเลื่อยผ่าเฉือนออกให้เป็นแผ่นผนัง มองคล้ายกำแพงสูงตั้งตระหง่านรองรับร่างของเจ้าดิงโก้ยักษ์ที่นั่งแหงนมองฟ้าอยู่เบื้องบน
ต่ำลงไปที่ตีนผาคือก้อนหินใหญ่น้อย อันเป็นส่วนที่ถูกเฉือนให้ตกลงมาแตกเป็นชิ้น ๆ กองระเกะระกะ กระจัดกระจาย ผ่านวันผ่านเวลามาเนิ่นนาน ถูกลมถูกฝนชะกร่อนกลายเป็นรูปร่างแปลก ๆ มองคล้ายสิ่งมีชีวิต บ้างเหมือนสัตว์ เหมือนคน เหมือนต้นไม้ก็มี
“มามิริ มาดูหินก้อนนี้ซี รูปร่างของมันคล้ายสัตว์จริง ๆ เลย”
สาวน้อยจากแดนอีสานเรียกเพื่อนชาวเผ่า มาดูสิ่งที่ตัวเองกำลังเพ่งมอง มันเป็นหินก้อนหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกิ่งก่ายักษ์สีเขียวปัด มันนอนชู คออยู่บนพรมหญ้าสีเขียวระหว่างซอกหิน
“ตัวกูอาน่า มีสองตัวเห็นไหม ตัวเล็ก ๆ นี่คงเป็นลูกของมัน”
มามิริตื่นเต้น “อุ้ย...มันกะพริบตา และขยับตัวได้ด้วยหละ ดูซี”
เด็กสาวดึงแขนโรบินสัน กับตัมบูให้มาดูด้วยกัน
และท่ามกลางสายตาสี่คู่ที่กำลังเพ่งมองดูมันอยู่นั้น ก้อนหินประหลาดรูปร่างเหมือนสัตว์เลื้อยคลานที่มามิริเรียกว่า เจ้ากูอาน่านั้นก็ส่งเสียงกระซิก ๆ เหมือนคนสะอื้นไห้ออกมา
“ฉันไม่ชอบรูปร่างแบบนี้เลยหละ...ฮือ ๆ ...แต่ว่าฉันก็หาจิงโจ้ตัวนั้นไม่เจอแล้ว”
“อ้าว....นี่...โมบายหรอกหรือจ๊ะ โอ้ยในที่สุดเธอก็กลับมา ดีใจจังเลย”
สาวน้อยอดีตนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ทีทำให้เพื่อนต้องกลายเป็นผีร้องขึ้นด้วยความดีใจสุดขีด
“ใช่หนูด้วยละ”
เจ้าตัวน้อยที่อยู่เคียงข้างส่งเสียงแหลม ๆ ออกมาบ้าง มันก็เป็นผีน้อยลูกของ
โมบายนั่นแหละ พากันซมซานมาสิงสู่อยู่ในร่างใหม่ทั้งแม่ทั้งลูก
“แล้วทำไม ไปยังไงมายังไงกันนี่ ถึงได้มาสิงอยู่ในร่างเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนี้ ยายทวดล่ะ พบกันบ้างไหม”
กิ่งคำปายปล่อยคำถามรัวเร็วจนแทบลืมหายใจ ก้มลงคว้าเอาตัวเจ้าสัตว์น่าเกลียดขึ้นมาอุ้มอย่างรักใคร่ ไม่รังเกียจรังงอนแม้สักน้อยนิด ทำให้เสียงสะอื้นซิก ๆ อย่างสำออยของผีสาวแม่ลูกอ่อนค่อย ๆ ผ่อนลงและเงียบไปในที่สุด
“เราไม่รู้หรอก ยังไม่เห็นกันเลย”
กูอาน่าโมบาย ทำหัวผงก ๆ ยามพูดดูน่าสมเพชแกมน่าขัน จนเด็กสาวผู้เป็นเพื่อนยกมันขึ้นแนบแก้มอย่างสนิทสนม และแสนสงสาร ฝ่ายลูกน้อยขิ้อิจฉาเห็นแล้วทำตาแป๋วแวววับ และโอดครวญออดแอด หนุ่มโย่งโรบินสันต้องวางวอมแบตลงแล้วคว้าเอาตัวมันขึ้นมาอุ้มแทน มันเป็นกิ่งก่ายักษ์จริง ๆ เขาคิด ตัวมันหนักพอ ๆ กับวอมแบตทีเดียว
“แล้วจิงโจ้ตัวนั้นไปไหนเสียล่ะตอนนี้”
เขามีความรู้สึกผูกพัน และสนิทใจกับร่างเก่าของผีสองแม่ลูกมากกว่า
“ไม่รู้ซี ตอนที่ถูกนักรบชาวเผ่าคนหนึ่งขว้างแหลนใส่อย่างเฉียดฉิวหวุดหวิดนั้น ฉันก็ทิ้งร่างจิงโจ้ลอยขึ้นสู่ปลายไม้ พวกนั้นเห็นแล้วก็พากันตะโกนเสียงสั่น และเผ่นกลับกันป่าราบ ส่วนจิงโจ้ก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปอีกทางหนึ่ง ไม่รู้ไปทางไหน ฉันซอกซอนหาอยู่แทบทั้งวันแต่ไม่พบ”
“เป็นนักรบไม่น่าวิ่งหนีง่าย ๆ ตลกตายละ”
ผีน้อยแก่แดดทำเสียงเยาะ ๆ ฟาดหางไปมาในอ้อมแขนของหนุ่มฝรั่งหน้าแขกโรบินสัน ได้ผจญภัยกับแม่แค่หนึ่งวันดูเหมือนเธอแก่แดดแก่ลมขึ้นเยอะ
“โธ่.....ก็เธอกับแม่เป็นผีปรากฏร่างลอยออกจากร่างสัตว์ให้เห็นชัด ๆ แบบนั้นใคร ๆ ก็ต้องกลัวกันทั้งนั้นหละ รู้ไว้ด้วย”
กิ่งคำปายยื่นมือออกไปใช้นิ้วจิ้มหน้าผากหนาม ๆ ของมันอย่างหยอกล้อ
“งั้นคงไม่มีใครตามล่าเราอีกแล้วหละ”
ตัมบูถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ครั้นมามิริถามว่า “แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน” เขาก็คอตก ส่ายหน้าจนผมเปียลอนเล็ก ๆ สั้น ๆ เต็มศีรษะไหวพเยิบพะยาบ
“ไม่รู้ซี โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลแต่ไม่มีที่สำหรับเราเลย”
คำตอบเศร้า ๆ นั้นทำให้ทุกคนรวมทั้งโมบายผีสาวแม่ลูกอ่อนอึ้งไป
ชะตากรรมบางอย่างของมวลมนุษย์เกิดขึ้นโดยไม่มีใครกำหนด หรือควบคุมได้ ไม่ว่าคนในสังคมเจริญสุดขีดสามารถเหินข้ามฟ้า ข้ามมหาสมุทรได้ในชั่วเวลาข้ามคืน หรือคนในสังคมที่ยังไม่รู้จักแม้แต่เสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย สองคนจากโลกภายนอกกลับตกหล่นลงมาในป่าดงพงไพร ต้องซอกซอนนอนป่าและคิดหาวิธีการ หาทางกลับออกไปให้ได้ทุกวินาที อีกสองคนที่มีถิ่นพำนักในดินแดนแห่งพงหนาป่ากว้างนี้กลับต้องหนีพวกเดียวกันหัวซุกหัวซุน ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดจะอยู่ตรงไหน
“เอาเถอะ....แล้วเราค่อย ๆ คิดหาทางกันไปก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ที่ดีที่สุดคือต้องหาที่พักผ่อน รอยายทวดกันก่อนเถอะนะ”
โรบินสันเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อน ณ ที่นั้นตัดสินใจ แม้เขาจะเคยชินกับสิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบายจนดูงุ่มง่ามเงอะงะในบางครั้ง ด้วยไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบชาวป่า แต่เขาก็เป็นคนสุขุมรอบคอบ และมีสติไตร่ตรอง จึงตัดสินปัญหาทุกอย่างด้วยเหตุผลที่ดีอยู่เสมอ
แล้วคนทั้งสี่กับผีอีกสองก็ทำตัวเป็นนักสำรวจถ้ำ
ภายใต้กำแพงหินผาใหญ่โตมหึมานั้นมีโพรง ถ้ำ และชะง่อนหินที่ชะโงกง้ำเป็นคล้ายหลังคาเพิงหมาแหงนอยู่หลายแห่ง แต่หาที่เหมาะสมสำหรับพักแรมไม่ได้ บางแห่งมืด และอับชื้นเกินไป บางแห่งเป็นเพียงช่องแคบ ๆ คดเคี้ยววกวนจนเบียดกายเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น บางแห่งกว้างขวางแต่บนพื้นกลับมีแต่โขดหินตะปุ่มตะป่ำแหลมคม ไม่สะดวกแก่การนั่งการนอน บางแห่งกว้างขวาง เหมาะสมดี มีแสงส่องอากาศถ่ายเทได้สะดวก แต่กลับมีกองกระดูกสัตว์มากมายทับถมกันอยู่ คล้ายเป็นหลุมพรางกับดักให้สัตว์ตกลงมาตายกองกัน บางแห่งบนผนังและเพดานมีหินงอกเป็นแท่ง เป็นปุ่มปมสั้น ยาว แหลมคม มากมายห้อยย้อยน่ามหัศจรรย์ และน่ากลัวว่ามันจะหล่นโครมลงมาทับคนข้างล่างได้ทุกเมื่อ คณะสำรวจจำเป็นจึงต้องถอยกลับออกมา
จนมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งที่ทุกคนต้องอ้าปากค้างตะลึงมอง เพดานถ้ำสูงทำให้ดูโปร่งโล่งน่าอยู่ และที่แสงส่องลงมาให้ความสว่าง ที่พื้นถ้ำยังมีร่องรอยกองไฟที่มอดแล้วแสดงให้รู้ว่ามีคนเคยมาพักแรม
แต่ที่ทำให้ทุกคนตะลึงมองด้วยความอัศจรรย์ใจก็คือ บนผนังถ้ำที่เรียบคล้ายเป็นกำแพงห้องนั้นเต็มไปด้วยสีสันของภาพระบายสี เป็นภาพสัตว์ต่าง ๆ มากมายทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งสัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์เลื้อยคลาน และมนุษย์ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดเหมือนมนุษย์ต่างดาวมากกว่ามนุษย์ธรรมดา เพราะมีเขา มีหาง บ้างมีรูปร่างเป็นวงกลม เป็นสามเหลี่ยมแต่มีขาเหมือนแขนขามนุษย์ เส้นลายโค้งอ่อนช้อยตกแต่งด้วยจุดสีขาว เหลือง และแดง ดูงามประหลาด
“ภาพเหล่านี้คงเป็นฝีมือมนุษย์”
กิ่งคำปายครางในลำคอ ไม่ละสายตาจากการจ้องมอง
“คงเป็นภาพเล่าเรื่องราวของชาวพื้นเมือง เป็นเรื่องราวในตำนานของพวกเขาที่ถ่ายทอดกันมาเนิ่นนาน....ภาพบางภาพนั้นเก่ามากอาจมีอายุเป็นพัน ๆ ปีทีเดียว”
โรบินสันดึงแขนกิ่งคำปายเข้าไปดูใกล้ ๆ ชี้ให้ดูบางภาพประกอบคำอธิบาย เขามีความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะลวดลายที่สลัก หรือวาดบนแผ่นหินของชาวอะบอริจิน
ออสเตรเลียอยู่ไม่น้อย ทั้งจากที่เป็นของจริงในถิ่นเดิมของชาวพื้นเมือง จากหนังสือที่ยายของเขารวบรวม และจากพิพิธภัณฑ์ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมชาวพื้นเมือง หลายแห่งทั่วประเทศ
“สิ่งเหล่านี้เป็นงานศิลปะอันมีค่าทางประวัติศาสตร์ บ่งบอกให้รู้ว่าบนพื้นทวีปเก่าแก่แห่งนี้มีคนอาศัยอยู่มาก่อนเราชาวผิวขาวเนิ่นนานเป็นพันชั่วคนแล้ว ปัจจุบันลวดลายทางศิลปะแบบนี้มีเผยแพร่ทั้งในรูปแบบที่เป็นภาพวาดบนกระดาษ บนผืนผ้าใบ ทั้งที่เป็นลวดลายในเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ของที่ระลึกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวอะบอริจินออสเตรเลีย…..”
เขาอธิบายยืดยาว และชี้ชวนเธอเดินชมภาพด้วยความประทับใจจนไม่ได้สังเกตว่าตัมบูกับมามิริไม่ได้อยู่ในที่นั้นแล้ว
“นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เราจะล่วงละเมิดมิได้”
ตัมบูบอกน้องสาวลูกพี่ลูกน้อง ก่อนพากันถอยออกมาจากถ้ำนั้น
แม้เขากับมามิริจะเคยล่วงละเมิดเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมาเคอจูลาหลายแห่ง แต่สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างสำคัญมาก เป็นสถานที่แห่งความลับที่เข้ามาได้เฉพาะผู้ชายในการทำพิธีบูชาเทพผู้สร้างสิ่งทั้งหลายเท่านั้น
เสียงบอกเล่าย้ำเตือนของผู้เฒ่าผู้แก่ว่ามันเป็นสถานที่แห่งมนต์ขลังที่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก ๆ และผู้หญิง ยังตรึงแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกของทั้งสอง ทำให้เกิดความเคารพและขยาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะมองดูภาพเหล่านั้นเต็มตา