บ้านทุ่งแสนสุข
โดยมณีดิน
ตอน 5. ลมบ้าหมู
ลมร้อนพัดวนจนเกิดเป็นลมบ้าหมู ผมยืนมองดูด้วยสายตาท่าทีสนใจกึ่งสงสัย แม้เมื่อลมหมุนวนเข้ามาใกล้คันนาที่ผมยืนมองอยู่ ผมหรี่ตาหลบแรงลมและสิ่งที่เห็นชัดเจนว่า ในลมหมุนมีเศษหญ้าแห้ง เศษฟางแห้ง และฝุ่นดินคละคลุ้ง กำลังพุ่งเข้ามาหาก็ตาม แต่ผมก็ไม่รู้สึกเกรงกลัว ด้วยว่าผมเป็นเด็กเก่งและดื้อด้านคนหนึ่ง
ด้วยเรือนร่างที่ผอมเกร็ง หัวโตพุ่งป่อง นุ่งเพียงกางเกงสีกากีเก่าๆมีรอยปะเป็นรูปใบโพธิ์ที่ก้น ซึ่งในบรรดาลูกหลานเจ๊กโรงสีแล้วล้วนแต่งตัวเอี่ยมลออกันทุกคน แต่สำหรับผมไอ้ดำจรกากลับคิดว่า “เท่ห์ดี” เมื่อมันเดินไปทางไหน จึงมีรอยยิ้มส่งให้ด้วยความเอ็นดู กลมกลืน
ลมบ้าหมูสงบสยบลงตรงหน้าผม ฝุ่นละอองและเศษหญ้า เศษฟางข้าวตกลงนอนนิ่งกับพื้น ผมอดยิ้มแสยะปากนิด พลางคิดในใจ “กูบ้ามากกว่า” แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ลมบ้าหมูมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน พลันผมกลับคิดได้ ผมหันหลังกลับแล้ววิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ร่างผอมกะหร่องของผมดูเหมือนเหิรลมได้ ชั่วพริบตาผมก็ลงไปนั่งหอบอยู่แทบเท้าของลุงฮวด เจ้าพ่อกรมทาง ผู้ซึ่งมันเคารพนับถือและเชื่อมั่น
“อ้าว! ไอ้ฉิบหายดำ มึงบ้าอะไรของมึงวะ หอบแฮกเลย” ลุงฮวดก้มลงมองพร้อมกับขยับไม้กระบองประจำกายเขี่ยที่พุงผม แต่ผมตอบไม่ได้ได้แต่นั่งหอบจนตัวโยน
“เฮ้ย ใกล้จะตายเหรอมึง อย่ามาตายใกล้ตีนกูนะ กูเหยียบซ้ำเลย” ลุงฮวดพูดไปก็หัวเราะขำขันเจ้าหลานชายจอมแสบ แล้วผมก็หายใจช้าลงจนตั้งคำถามได้
“ลุง...ฮวด เมื่อกี้ผมยืนดูลมบ้าหมูที่หลังบ้านทุ่ง ผมสงสัย ลมบ้าหมูมันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
มันจ้องตาลุงฮวดผู้ที่มันเคารพนักเคารพหนาว่าเป็นนักเรียนนอก แล้วก็รู้ไปทุกเรื่อง จนตั้งตัวเป็นพระอาจารย์ขานไขเรื่องสารพัดที่ใครๆไม่รู้และข้องใจ
“ไอ้บ้า กูจะไปรู้เรอะ” ลุงฮวดตวาดเสียงดัง
“อ้าวลุงฮวด นักเรียนนอกนะลุง” ผมย้อนกลับแรงๆ
ลุงฮวดก็ยกเท้าถีบโครมเข้าที่หน้าผมเข้าจังหนับ ผมกลิ้งโค่โล่ แล้วก็เด้งกลับมานั่งดังเดิมอีก
“มึงลองภูมิกูรึ ได้ซี ลมบ้าหมูเกิดจากความร้อนในอากาศ มันมีช่องว่างที่มีบางส่วนเป็นอากาศเย็น จึงเกิดการหมุนเวียนฉับพลันทันใด นั่นแหละมันจึงเกิดเป็นพายุหมุนเล็กๆ เรียกว่าลมบ้าหมู (อีสานเรียกว่าลมหัวกุด)”
ลุงฮวดเล่าจบก็ยืดทำทีเหมือนอาจารย์ผู้ทรงภูมิ หัวเราะจนเศษหมากกระเด็นออกจากปาก ผมนั่งฟังด้วยอาการตื่นเต้น นึกในใจ “แกรู้ทุกเรื่องจริงๆ ลุงเรา” ผมมองหน้าแล้วอมยิ้มกริ่มสบตาลุงฮวด ผมรู้สึกไม่ผิดหวังและภาคภูมิ
ลุงฮวดของผมคือหนึ่งในจำนวนนักเรียนนอกสามคนพี่น้องซึ่งอากงส่งไปเรียนที่เมืองจีน ลุงกุ่ย ลุงฮวดแล้วก็ลุงหงี ผมเคยถามลุงฮวดว่า ไปเรียนหนังสือที่เมืองจีนลุงได้วิชาอะไรมา ลุงฮวดตอบด้วยความทระนงยิ่งนัก
“กระบี่กระบองซิ นี่ไง อาวุธประจำกายของกู ใครลองมาแหยมกับกูซิ เป็นโดนเพลงกระบองของกูอ่วมก็แล้วกัน”
ผมกับสมาชิกรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอ้าปากหวอ เพ่งสายตาไปที่ลุงฮวดซึ่งเล่าไปก็ขยับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของแกอวดให้ชม ฟังเรื่องเล่าของลุงฮวดแล้วได้ดูงิ้วประจำปีก็ยิ่งเชื่อเลยว่า วิชากระบี่กระบองของลุงฮวดนี่ถ้าจะมีสอนเป็นวิชาติดตัวที่เมืองจีนแน่นอน งิ้วแสดงทีไรก็เห็นมีง้าวแล้วก็ดาบใหญ่ ตัวเอกบางตัวก็ควงกระบองเป็นอาวุธ มันต้องจริงแน่แน่
เมื่อไปโรงเรียน ผมเล่าอวดเพื่อนๆเรื่องลมบ้าหมูบ่อยครั้ง เจอใครก็สะกิดแล้วทำทีจะเล่าเรื่องลมบ้าหมู บางทีเล่าให้เพื่อนคนหนึ่งฟังแล้วผมก็ยังอยากจะเล่าซ้ำอีก จนเพื่อนมันทนไม่ไหว
“ไอ้เหี้ย..มึงเล่าเรื่องนี้ให้กูฟังสามรอบแล้ว ไปไกลๆเลยมึง”