Incredible อินเดีย
“เอื้อยนาง”
๕.โอ้...เนรัญชรา
ชมพูทวีป เป็นดินแดนที่เทพเจ้าประทานมาแก่มวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย ความอุดมสมบูรณ์ และงดงามของธรรมชาติคือสิ่งที่พระองค์สร้างสรรค์มาไว้ในดินแดนนั้นเป็นนิรันดร์ แต่สัตว์โลก มวลมนุษย์บนผืนแผ่นดินต่างหากที่เวียนว่ายในวัฏสงสาร ไม่สิ้นสุด เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่พ้น มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐผู้พึงสั่งสอนได้ จึงมุ่งแสวงหาปัญญา ความหลุดพ้น
ชมพูทวีปสมัยพุทธกาลนอกจากมีพราหมณ์ พราหมณ์มหาศาล คุรุ คุรุเทพ แล้วยังมีเจ้าลัทธิต่าง ๆ ผู้นำทางจิตวิญญาณมากมายตั้งสำนัก สั่งสอนให้ผู้คนปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้น
เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งศากยวงศ์ กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ เป็นผู้หนึ่งที่ทรงสละความสุขทั้งปวงในโลกแห่งกามสุขเพื่อออกแสวงหาหนทางตรัสรู้ บรรลุพระโพธิญาณ ธรรมชาติ ภูเขา ป่าไม้ สายน้ำ ลำธาร คือแดนที่ทรงเลือกเพื่อความสงบที่ทำให้เกิดปัญญา
ภูเขาดงคสิริในดินแดนแคว้นมคธคือที่ประทับอยู่ เพื่อบำเพ็ญเพียร หลากหลายวิธีตลอดจนการทรมานพระวรกายจนผ่ายผอม จนมีปัญจวัคคีย์ทั้งห้ามาคอยอุปัฏฐากด้วยความเลื่อมใส และหวังว่าจะได้ฟังธรรมเมื่อพระองค์บรรลุพระโพธิญาณแล้ว
๖ ปีที่ทรมานพระวรกายในเขตดงคสิริยังไม่บรรลุพระโพธิญาณ จึงทรงเปลี่ยนมาเสวยพระกระยาหารบำรุงพระวรกายอีกครั้ง เป็นเหตุให้ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าหมดศรัทธาและตีจากไปอยู่ยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ห่างไปประมาณ ๑๘ โยชน์ ทิ้งพระองค์ให้อยู่เดียวดายกับร่มไม้ สายน้ำ
พระองค์เสด็จสู่ริมฝั่งอันรื่นรมย์แห่งแม่น้ำเนรัญชรา ประทับที่ควงต้นนิโครธพฤกษ์ชายเขตอุรุเวลาเสนานิคม
สายน้ำใสไหลเย็นแห่งเนรัญชราจึงเป็นสายกระแสอันรองรับถาดทองคำพร้อมคำอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่แห่งการกำเนิดพุทธศาสนา ในกาลนั้น
ณ บัดนั้นเอง นางสุชาดาธิดามหาเศรษฐีผู้เคยตั้งปณิธานความปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งนางยังไม่มีสามีว่า ขอให้ได้คู่ครองที่มีฐานะเสมอกัน และขอให้มีบุตรคนแรกเป็นชาย แล้วนางก็ได้ดังประสงค์และไปอยู่บ้านสามี ณ กรุงพาราณสี ครั้นได้กลับมาเยี่ยมบ้านบิดา นางคิดจะบวงสรวงบูชาเทพยดาดังที่เคยตั้งปณิธานไว้จึงให้นางทาสีออกไปเสาะหาสถานที่เหมาะ
บังเอิญนางทาสีมาพบพระมหาสัตว์ประทับนั่ง งามสง่า เปล่งรัศมีเรืองรองใต้ร่มไม้ดังกล่าว นางเข้าใจว่าเป็นเทพเทวาเสด็จลงมาปรากฏให้เห็นจึงรีบไปบอกนางสุชาดา และรีบนำข้าวมธุปายาสมาถวายพร้อมถาดทองคำ เมื่อนางกลับไปแล้วพระองค์จึงทรงถือถาดมธุปายาสสู่ริมฝั่งเนรัญชรา สรงพระวรกายแล้วประทับนั่ง ณ ริมฝั่งนที หันพระพักตร์สู่ทิศบูรพา ปั้นมธุปายาสเป็น ๔๙ ก้อน เสวยแล้วทรงยกถาดเสด็จสู่หาดทรายชายน้ำ ตั้งพระทัยอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีในสายน้ำแห่งนี้
และสายน้ำนี้ก็อยู่ในจินตนาการของชาวพุทธผู้เรียนรู้ประวัติพระพุทธองค์เสมอมา โดยเฉพาะผู้อยู่ห่างไกลถึงสุวรรณภูมิอย่างชาวเรา เคยเห็นเนรัญชราก็แต่ในความคิดฝัน และภาพที่จิตรกรถ่ายทอดออกมาจากปลายพู่กันซึ่งช่วยเติมต่อจินตนาการถึงแม่น้ำนั้นให้เด่นชัดในความสวยใสน่ารื่นรมย์
เราจึงใจจดใจต่อเมื่อชาวคณะจะข้ามฝั่งแม่น้ำเนรัญชราไปเยี่ยมชมสถูปโบราณบ้านของ(บิดา)นางสุชาดา ด้านเชิงเขาดงคสิริ
จากฝั่งที่ตั้งพุทธคยาทางตะวันตก ข้ามสะพานที่ทอดยาวสู่ตะวันออก
แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตา ณ ใต้สะพานลงไปนั้น กลับเป็นผืนทรายกว้างและพุ่มไม้เตี้ย ๆ ขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ มีเส้นสายสีดำแตกแยกออกเหมือนรากไม้ทอดยาวให้เห็นว่าเป็นสายน้ำอยู่ลิบ ๆ
โอ้...เนรัญชรา กาลเวลาผ่านไปกว่า๒๕๐๐ปีย่อมมีการเปลี่ยนแปร อุปาทานที่ปรุงแต่งในจิตเราต่างหากที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“นั่นแหละคือแม่น้ำเนรัญชรา”
มีผู้ยืนยันเมื่อเราเอ่ยปากถามในลำคออย่างไม่แน่ในในสายตาตน
โอ้...เนรัญชรา มหานทีที่พบมาในความฝัน
สุชาดาถวายถาดแต่ปางนั้น พระพุทธองค์ทรงฉันริมฝั่งชล
เนรัญชราวันนี้ที่ได้เห็น มิได้เป็นดั่งจินตนาน่าฉงน
น้ำแห้งขอดมีโคลนทรายให้ได้ยล ฤาฝั่งชลกับผืนทรายคือคล้ายกัน
ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง ฤาจะยังมีสิ่งใดไม่แปรผัน
ขอแต่เพียงศรัทธายังผูกพัน ทุกอย่างนั้นแม้เปลี่ยนแปลงอย่าแคลงใจ
“ในฤดูฝนน้ำคงล้นเปี่ยมฝั่งอยู่หรอก”
เสียงใครบางคนในรถดังขึ้นเหมือนจะบอกถึงความหวังในใจตนมากกว่า
ใช่เราก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ณ กาลที่พระพุทธองค์ทรงลอยถาดทองคำก่อนตรัสรู้วันนั้นเป็นช่วงเพ็ญแห่งวิสาขะ นี่ก็ยังไม่มาฆะ เนรัญชราที่กว้างถึง ๓ กิโลเมตรนี้จึงยังแห้งขอดจมดินจมทราย สะพานที่ทอดข้ามผู้รู้บอกว่ายาวถึง ๕ กิโลเมตรเชียว
ฝั่งตรงกันข้ามเป็นชุมชนชาวฮินดู ยอดแหลมของอาคารศาสนสถานผุดโผล่สูงเด่นเหนือบ้านเรือน(ตึก หรือห้องแถว)เตี้ย ๆ ติด ๆ กันตามสไตล์ชนบทอินเดีย
ผ่านชุมชนเลี้ยวลดจนทะลุออกสู่ทุ่งกว้างที่เขียวขจี มีต้นตาลสูงเด่นเป็นทิวแถว ภูเขาดงคสิริเป็นเงาครึ้มอยู่ปลายทุ่ง
เป็นหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำแห้งขอดเป็นโคลนทราย แต่ทุ่งนากว้างสุดสายตากลับยังเขียวสด ดั่งมีใครมาวาดระบายสีเอาไว้ให้งามงด ให้ได้ปรับเปลี่ยนความรู้สึกที่ห่อเหี่ยวกลับมาสดชื่นขึ้นอีกที
ผืนนา กับ โคลนทรายดูคล้ายดั่งเป็นคนละดินแดน คนละโลกเลยทีเดียว
ดินแดนแห่งเทพ กับ โลกแห่งมนุษย์
นี่แหละคืออินเดียที่มหัศจรรย์พันลึกให้ความรู้สึกขึ้น ๆ ลง ๆ แก่ผู้มาเยือนดนักละ ถิอเป็นเสน่ห์แห่งอินเดีย
ริมทุ่งชายเขตหมู่บ้านตรงหน้าที่รถมาจอดก็คือสถูปโบราณ บ้านนางสุชาดามหาอุบาสิกา ผู้เป็นเอตทัคคะผู้เป็นปฐมอุบาสิกาที่เป็นจุดหมายแห่งการมาของคณะเราในเช้านี้นั่นเอง
๐๐๐๐๐๐
(ยังมีต่อ)