จากอาจารย์-มหารานี....จากขอทาน-เทวทูต
“สาวภูไท”
เกิดมาเป็นขอทาน เป็นหน้าที่หนึ่งของมนุษย์ในสังคมอินเดีย เป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติเพื่อให้มนุษย์ในหน้าที่อื่น ๆ ได้ทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อเป็นบุญ เป็นกุศล ทุกศาสนาในอินเดียล้วนมีคำสอนให้ศาสนิกชนบำเพ็ญทาน ศาสนาพุทธเองก็ถือว่าทานบารมีเป็นเป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์เคยเสวยชาติเป็นพระเวสสันดรเพื่อบำเพ็ญทานบารมี ถือเป็นมหาชาติที่ยิ่งใหญ่ เป็นชาติสุดท้ายก่อนมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาตินั้นทรงให้ทานทุกสิ่งทุกอย่างแม้สหชาติอย่างช้างปัจจัยนาเคนทร์ แม้พระมเหสี พระโอรส พระธิดาอันเป็นสุดที่รักก็ทรงตัดพระทัยให้ทานแก่พราหมณ์ชูชกไป
นั่นคือ ขอทานมีอยู่ในสังคมแบบอินเดียมากว่า ๒๕๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล และสืบทอดมายาวนานจนปัจจุบันจึงไม่มีใครเห็นเป็นแปลก
เยี่ยงนี้แล้ว เราชาวพุทธพราหมณ์ผีจึงมิได้มีจิตคิดรังเกียจขอทานอินเดีย เพียงแต่ออกจะหวาด ๆ เพราะได้ยินมาว่าจะถูกรุมล้อมหากเราไปให้ทานคนหนึ่ง แล้วพรรคพวกของขอทานก็จะกรูกันเข้ามาให้เราพลัดเข้าไปอยู่ในดงขอทาน ... ก็เท่านั้นเองแหละ
จะว่าไปแล้ว คุณขอทานนั้นมีอยู่ทุกประเทศในโลก แม้ประเทศไทยเราก็มีขอทาน และมีขอทานหลายรูปแบบ หลายเทคนิคการขอที่อินเดียต้องชิดซ้าย ขอทานไทยจะเป็นแบบเจริญกว่า มาแบบฉลาดเหนือเมฆ แบบมีสิ่งจูงใจ ใช้แรงเสริม กระตุ้นจิตให้ผู้ถูกขอต้องบริจาค(ทาน)ก็มี แบบบังคับกลาย ๆ อาศัยบารมีของผู้ขอ(ทาน)ที่มากกว่าผู้ให้(ทาน)ก็มี แบบข่มขู่ให้จำยอมก็หลาย ที่น่าหวาดหวั่นกว่าขอทานอินเดียก็คือเหล่าขอทานแบบไม่แสดงตัวโจ่งแจ้งแต่แอบแฝงมาแบบแย่ง ชิง ฉก ฉวย หรือทำร้ายผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ให้บาดเจ็บตกตายก็หลาย ขอทานแบบนี้กลายเป็นชาวมิจฉาชีพขนาดทำเป็นบริษัท มีเครือข่ายโยงใย ใหญ่โตหลายสาขา จัดหาผู้จะมาทำหน้าที่ขอทานให้ด้วยการลักพาตัวลูกหลานชาวบ้านมาทำร้ายต่าง ๆ นานานั่นแหละน่ากลัวกว่าขอทานอินเดียเป็นไหน ๆ และเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ร้อนของผู้มีบุตรหลานในปกครองในสังคมไทยให้กลายเป็นกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องระแวดระวังบุตรหลานอยู่ทุกเวลานาที
เราควรจะขอบคุณอินเดีย ที่ยอมให้มีผู้ทำหน้าที่ขอทาน เป็นอาชีพหนึ่งในสังคม คนเคราะห์ร้าย คนพิการยังมีอาชีพทำมาหากินได้แบบเปิดเผยต่อโลก
เราขอบคุณขอทานอินเดียที่ยอมรับการเป็นขอทานของตนอย่างเปิดเผย ยกให้เราผู้(จะ)ทำทานเป็นบุคคลสูงเกียรติ์ เช่น เป็นอาจารย์ , มหาราชา หรือ มหารานี เลยทีเดียว เราจึงมองเขาดั่งเป็นเทวทูตมานำเอาผลทานจากเราเป็นบุญกุศลสู่สรวงสวรรค์
๑.“อาจารย์...อาจารย์...”
“สิบรูปี”
นั่นไงเสียงเว้าวอนของเทวทูตน้อยจากสรวงสวรรค์ดังอยู่ด้านหลังแว่ว ๆ ดังซ้ำๆ ตามติดทุกย่างก้าว ฟังดูออกจะภาคภูมิใจที่ได้เป็นอาจารย์ มีบ่อย ๆ ได้เป็นมหารานีด้วยหละ
“อาจารย์” เสียงเรียกร่ำย้ำคำขณะเรากำลังสาวเท้าไว ๆ จะให้ทันชาวคณะขณะไปไหว้พระที่วัดพุทธญี่ปุ่นใกล้พุทธคยา เสียงอ่อน ๆ แผ่ว ๆ ดังแว่ว ๆ ตามติดอยู่ด้านหลัง ครั้นหันกลับไปดูก็ได้พบสายตาเศร้า ๆ ของเทวทูตน้อย ๆ ผู้เดินตามในท่าพนมมือ ปากจิ้มลิ้มเปล่งเสียงอาจารย์ ๆ ๆ ...มิเคยหยุด
คำว่า อาจารย์ ฟังเป็นดั่งแผ่นเสียงตกร่อง จึงเปล่งคำซ้ำ ๆ ให้ผู้ฟังอารมณ์ขาดห้วง จึงหันกลับและสาวเท้าเดินต่อ
“อาจารย์ อาจารย์...” เสียงนั้นไม่ยอมแพ้ยังคงรักษาระยะห่างอยู่ข้างหลังสม่ำเสมอ เราหยุดเธอหยุดด้วย เราเดินเธอเดินด้วย เราก้าวยาวกว่าเพราะขายาวกว่าเธอก็ก้าวถี่ ๆ แกมวิ่งไม่ทิ้งระยะห่าง แต่เราเงียบเธอยังเปล่งเสียง ที่สุดเรายอมแพ้ให้ไปสิบรูปี คราวนี้เทวทูตน้อยก็เลยบินหนีไปหาผู้เป็นอาจารย์คนอื่น ๆ ต่อไป
๒.“มหารานี... มหารานี...ตะลุงตุงแช่...” เสียงเทวทูตน้อยคราวนี้แปลกเพราะมีกลองผสานเป็นจังหวะตะลุงตุงแช่ด้วย เจ้าตัวเทวทูตยังเต้นรำทำท่าอย่างร่าเริง นัยน์ตานั้นก็พราวระยับ หน้านั้นก็ทะเล้นนักละ แถมมีคู่หูเสียด้วย เสียแต่ว่าเจ้าคู่หูทำท่าเอียง ๆ อาย ๆ
เทวทูตน้อยที่เรียกเราให้เป็นมหารานีนี้อยู่ที่ริมถนนใกล้เมืองไพสาลี หน้าสาลโนทยาน สถานที่ที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน พวกเราเสร็จสิ้นวาระการกราบไหว้บูชา กำลังกลับออกมาขึ้นรถ และกำลังชมผลหมากรากไม้ของอินเดียในรถเข็น โดยเฉพาะมะขามป้อมลูกโต ๆ ที่อยากได้ และตั้งใจจะซื้อ เลยต้องหันมาสนใจความเป็นมหารานีของเทวทูตน้อยที่กำลังทำท่าดังกล่าวประกอบกิจกรรมการขอ
เรายิ้มให้เจ้าคนโตที่ดูน่าขัน เขายักย้ายส่ายตะโพกเหมือนพระเอกในหนังเพลงอินเดียยังไงยังงั้นเลย
เสียงยังดัง เขายังเต้นรำ แม้เมื่อเราขึ้นรถไปนั่งมองลงมาจากข้างหน้าต่าง รถเคลื่อนที่ออกไป เราลืมให้สิบรูปีเพราะมัวดูท่าเต้นของเทวทูตหน้าทะเล้น ได้แต่ขอโทษในใจเมื่อรถเคลื่อนจนลับตา และหวังว่าจะมีมหารานีอื่น ๆ ให้เขาแม้เราจากมา
๓.“จาน...จาน...” เสียงเรียกคราวนี้เล็กแหลม แหบพร่า แปลกไปจนทำให้ตกใจ ใช่เพียงเท่านั้น ที่ทำให้ตกใจก็เพราะเสียงเรียกดังลงมาจากที่สูง บนกำแพงข้างห้องน้ำของวัดไทยไวสาลี เทวทูตน้อยร่างผอมบาง มอมแมมองค์หนึ่งระเห็จขึ้นไปสถิตอยู่บนนั้น แล้วร้องขอลงมาด้วยเสียงแหบพร่า ฟังแทบไม่เป็นภาษา เรายังไม่ทันได้จะได้ทำสิ่งใด ด้วยยังอยู่ในอาการตกใจ เธอก็ทำตัวให้หล่นหายต๋อมลงไปด้านหลังกำแพงที่เป็นทุ่งกว้างเสียแล้ว เพราะเหตุมีแม่ชีเดินมาพอดี
ที่แท้อาจเป็นเพราะเคยถูกแม่ชี พระ เณร หรือคนของวัดที่นี่ห้ามปรามนั่นเอง เทวทูตบนกำแพงจึงได้หายจ้อยทันใด
วัดไทยไวสาลีเป็นวัดใหม่ พื้นที่ด้านหน้ากว้างโล่งว่างเปล่า ปลูกไม้ดอก ไม้ใบ พืชผักไว้สวยงาม เราจึงเดินเก็บภาพดอกไม้จากตัวอาคารใหญ่เรื่อยไปจนถึงส่วนที่เป็นที่พักสามเณรซึ่งมีผ้าสบง จีวร ที่ตากบน ราวปลิวไสวเป็นทิวธง จนเกือบถึงรั้วโปร่ง ๆ ด้านหน้า พลันก็มีเสียงเรียก อาจารย์ อาจารย์...ประสานกันดังมาจากนอกรั้วซึ่งเป็นด้านหน้าของวัดริมถนนใหญ่
อาจารย์ค่ะ...อาจารย์ครับ
แน่ะมีเสียงลงท้ายตามเพศอย่างถูกต้องเสียด้วย แม้เสียงที่น่าจะเป็นคะ กลับเป็นค่ะก็ตาม เหล่าเทวทูตคราวนี้มีหลายองค์ ทั้งชาย หญิง วิ่งกรู แข่งกันส่งเสียงอย่างสนุกสนาน ย้ายไปตามช่องของรั้ว ส่องหน้าและส่งเสียงเข้ามา
คงจะมีกฎห้ามเข้า เราจึงได้ยินแต่เสียงเรียกเข้ามา เมื่อเดินห่างจากรั้วเสียงเรียกก็กลายเป็นตะโกน ห่างจนเข้าไปในอาคารเมื่อเวลาเพล เสียงก็ยังดังอยู่แว่ว ๆ ไกล ๆ ...
ฤาเสียงนั้นดังมาจากเทวทูตบนสวรรค์จริง ๆ ...ก็ไม่รู้ซีคะ
๐๐๐๐๐