ศิลปะในมูลโคอินเดีย
“สาวภูไท”
อินเดีย มีเนื้อที่กว้างใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ ๖ เท่า แต่มีประชากรถึงพันกว่าล้านคน มากกว่าไทยหลายเท่า หากว่าชาวอินเดียปลูกบ้านหลังเล็กใหญ่กระจัดกระจายใช้พื้นที่ไม่เป็นสัดส่วนอย่างเราก็คงเหลือพื้นที่ช่องว่าทางการเกษตรไม่มากนัก
นับเป็นโชคดีที่ชาวอินเดียชอบมีบ้านอยู่ใกล้ชิดติดกัน รวมเป็นกระจุกอยู่ในเมือง หรือชุมชนหมู่บ้าน และแต่ละบ้านก็มีสมาชิกอยู่รวมกันมากมายเป็นกลุ่มเป็นก้อน แถมยังแบ่งเนื้อที่ให้สัตว์เลี้ยงอย่างวัว-ควายได้อยู่ด้วยเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก ที่เราได้เห็นในเขตชนบทภาคเหนือตอนไปเยือนจึงเป็นทุ่งสีเหลืองทองของมัสตาร์ดกว้างใหญ่สุดสายตา สุดขอบฟ้า สลับกับทิวตาลต้นสูงใหญ่ที่ยืนหยัดท้าทายสิ่งปลูกสร้างที่มักมายืนค้ำหัวอยู่กลางทุ่ง นั่นคือท่อโรงสี กับท่อของเตาเผาอิฐ
ผักงามและต้นมาสตาร์ดค่ะ
สัตว์เลี้ยง คือสัตว์ที่คนนำมาเลี้ยงนั้นมีมาแต่ปางไหนก็สืบค้นไปไม่ถึง เพราะไม่มีมนุษย์ใด ๆ ในยุคแรกเริ่มตั้งแต่วิวัฒนาการแยกกันเด็ดขาดจากบรรพบุรุษวานรทำการบันทึกไว้ หมาอาจเป็นสัตว์ชนิดแรกที่มนุษย์นักล่านำมาเลี้ยงไว้ให้มันช่วยล่า ก่อนการอาจหาญจับสัตว์ใหญ่ ๆ อย่างวัว ควาย ช้าง ม้า มาใช้งาน หรือการนำสัตว์สวยงามน่ารักอย่างนก หนู กระต่าย กระแต แม้แต่กิ้งก่า และตุ๊กแกในปัจจุบันมาเลี้ยงเพียงให้ความบันเทิงเริงใจ นอกจากการจับมาเป็นอาหาร หรือเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนจนสัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์ไปแล้วจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง
บ่อยครั้งที่เลี้ยงแล้วก็ผูกพัน เพราะสัตว์มันก็มีชีวิตจิตใจ เกิดความรัก ความผูกพัน และห่วงใยระหว่างคนผู้เลี้ยง และสัตว์ที่ถูกเลี้ยง คนไม่น้อยที่รักหมา มีหมาเป็นเพื่อน แม้กระทั่งรักหมามากกว่าคน มีใครมาทำร้าย หรือพรากมันไปก็เสียอกเสียใจ เสียน้ำตา...ขนาดทำอนุสาวรีย์ไว้ให้ระลึกถึงก็ยังมี
ข้างหลังเธอคือมูลโค
เนี่ย...สาวภูไท นั่งรถไฟกลับบ้านผ่านทุ่งกุลาเห็นวัวควายยืนแทะเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งยังอุ่นใจว่าควายเหล็กยังไม่มาไล่ไปจนหมดสิ้น สูญพันธุ์เด้อ... สมัยเป็นเด็กเคยมีวัวตัวโปรดชื่อเจ้าด่าง เพราะหน้ามันมีสีขาวแต้มเป็นจุดเหมือนคนหน้าด่าง รักมันมากอาบน้ำให้มันทุกครั้งที่รู้สึกว่ามันจะร้อน
ปัจจุบันในชนบทไทยบางหมู่บ้านก็ยังคงมีพิธีกรรมสู่ขวัญวัว-ควาย เพื่อแสดงความรัก ความกตัญญูต่อมัน ครั้งหนึ่งที่อุบลราชธานีมีการแข่งขันว่ายควาย คือจับควายมาว่ายน้ำข้ามแม่น้ำมูลแข่งกัน และดำริว่าจะจัดให้เป็นประเพณีอันดีงามประจำจังหวัดสืบต่อไปทุกปี ปรากฏว่าประชาชนอุบลราชธานีต่อต้าน หาว่าทารุณสัตว์ ...เห็นไหมนั่นแหละก็คนรักสัตว์
ศิลปะในมูลโค
ก็ดั่งเช่นชาวอินเดียรักโค(วัว)ของเขา รักและหวงแหน ใครจะมาทำร้ายต้องผ่าน(ข้า)ผู้เป็นอินเดียเสียก่อน เพราะโคของฉันมีบุญคุณมากหลายนะนายจ๋า...นอกจากให้นม เนยอาหารยอดอาหาร แล้ว ยังให้ฉี่และมูล(ขี้)ที่เป็นประโยชน์มากหลาย นม เนย ไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นที่รู้กันทั้งโลกอยู่แล้ว ในด้านความเชื่อเฉพาะโคนั้นคือสัตว์พาหนะของพระศิวะ ฉี่โคใช้ล้างบาปได้
ฉี่ หรือ มูตรโค มีการใช้เป็นยารักษาโรคมาแต่ครั้งพุทธกาล นับเป็นภูมิปัญญาอินเดียโดยแท้ และยังใช้มาจนปัจจุบันซึ่งเป็นที่ยอมรับในสรรพคุณและพัฒนาร่วมกับมูลโคเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่าง ๆ มากมายทั้งสบู่ ยาสีฟัน แชมพูสระผม ครีมบำรุงผิว ฟอกผิว รวมทั้งเป็นยาเม็ด ยาน้ำรักษาสารพัดโรคอีกด้วย
เหตุนี้จึงมีการเก็บถนอม สะสม ไว้ใช้งาน หรือซื้อขายกันอย่างเป็นระบบ มีการรองฉี่โคใส่ขวด ใส่ปี๊บ มีการเก็บมูลโคมาปั้น มาตากตามถนนหนทาง หรือแม้แต่บนผนังบ้าน หลังคาบ้าน หากผ่านไปตามถนนชนบทมองเห็นงานหัตถกรรมสีคล้ำ ๆ รูปร่างกลม ๆ แบน ๆ เท่าก้อนอิฐวางตั้ง เรียงเป็นแถว เป็นแนว หรือกองเทินกันขึ้นเป็นรูปเจดีย์บ้าง เป็นเหมือนกองฟางบ้าง ให้รู้ไว้นั่นแหละศิลปหัตถกรรมอันเกิดจากฝีมือ
ท่านพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัศน์ กล่าวไว้ในหนังสือ “ธรรมยาตรารำลึก แดนพุทธภูมิ” ถึงวิถีชีวิตอินเดียที่ท่านได้พบว่า “ชาวภารตะชนทางชนบท มีชีวิตแนบสนิทกับธรรมชาติจริง ๆ พวกเขาใช้ทรัพยากรทุกอย่างคุ้มค่า ใบไม้ที่แห้งเหี่ยวหล่นลงมา เศษใบไม้ใบหญ้าที่อยู่บนพื้น จะกวาดเก็บ นำมาคลุกเคล้ากับมูลโคสด ปั้นเป็นรูปวงกลม กดแปะไว้ตามผนังบ้านดิน ปล่อยให้มันแห้งหล่นลงมาเอง จึงเก็บมากองรวมไว้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม...ด้วยเหตุนี้(เหตุแห่งความรักธรรมชาติ)พวกเขาจึงไม่ตัดต้นไม้ทิ้งเพื่อทำถนน เพราะต้นไม้เป็นชีวิตส่วนหนึ่งของพวกเขา...แม้จะดูต่ำต้อยด้อยพัฒนา แต่ทว่าส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมไม่ถูกทำลาย พวกเขารักษาสภาพแวดล้อมเอาไว้ได้”
ภูมิปัญญาที่ไม่เคยขาดสายนี้ส่งผลให้อินเดียเป็นประเทศแรกที่มีการใช้ก๊าซชีวภาพอย่างเป็นระบบ โดยในปี ค.ศ. ๑๘๕๙ มีการสร้างระบบ Anaerobic digestion (AD) ขึ้นเป็นครั้งแรกในนิคมโรคเรื้อน Matunga ที่บอมเบย์ เพื่อผลิตพลังงานชีวภาพใช้ในนิคมนั้น
คุณกิตติชัย ซิงห์ ไกด์ของเราเล่าถึงการกำจัดแมลง ศรัตรูพืชของเกษตรกรอินเดียว่า “เกษตรกรพื้นบ้านของเราใช้ขี้วัวผสมกับเศษไม้ เศษหญ้าแห้งเผาแล้วเอาขี้เถ้า ฝุ่นผง ที่ได้จากการเผานี้มาโปรย ๆ ใส่แปลงนา ไร่ ที่มีหนอน แมลงมาเจาะไชพืชผักของเขา โดยโปรยหว่านตอนเช้าตรู่ที่ละอองหมอกยังปกคลุมเปียกชื้นในผืนทุ่ง ฝุ่นผงนี้นอกจากกำจัดศรัตรูพืชแล้วยังจะลายกลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินซะอีก ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย”
การจัดเก็บ สะสมมูลโคจึงเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตดังกล่าว ศิลปะการปั้น การเรียงตากให้แห้ง การเก็บกองไว้ให้เป็นระบบสวยงามจึงเกิดขึ้นเป็นศิลปะในมูลโคดั่งว่า
๐๐๐