บ้านทุ่งแสนสุข
ตอน14.ปลาออก กุ้งก็ออก
โดย มณีดิน
หลังวันลอยกระทงแสนสุขสันต์ น้ำเริ่มลดลงทีละนิดๆ ผมไม่รู้หรอกว่าน้ำลดไปที่ไหน เห็นแต่รอยคราบน้ำที่เสาเรือนของบ้านยกพื้นสูง แถวบ้านผม ทุกหลังยกพื้นสูงเพื่อให้พ้นน้ำที่หลากมานองเนืองในหน้าน้ำ แม้น้ำจะลดลงแต่ความใสสะอาดยังเหมือนเดิม อีกไม่นาน ก็จะได้เกี่ยวข้าวกันแล้ว แต่ช่วงน้ำลดตอผุดนี่แหละมีเรื่องราวเล่าสู่กันฟัง
ท้องทุ่งนาราบเรียบเสมอกัน เว้นแต่ลาดไหนลุ่มกว่าดอนอื่น ตรงนั้นข้าวจะขึ้นไม่ทันน้ำที่หลากไหล กลายเป็นเวิ้งวังที่โล่งเลี่ยนแทรกอยู่บนผืนพรม ผักสันตะวาพลิ้วไหวอยู่ใต้น้ำ สายบัวสีชมพูชูช่อดอกเคียงใบที่ลอยฟ่อง ดอกบานจงสีขาวเล็กๆแทรกอยู่ด้วย สาหร่ายหางกระรอกมีพื้นที่ให้เติบใหญ่ พื้นที่ลาดลุ่มนี้แหละที่ต่อมาเรียกกันว่า ลาด .....
เมื่อน้ำลดลง ไม่ใช่ตอผุด แต่เป็นบรรดาสัตว์น้ำที่หยั่งรู้ด้วยวิสัยตามธรรมชาติ จึงเริ่มแหวกว่ายไต่หนีไปหาที่ที่มีน้ำมากกว่า ปลาจากท้องทุ่งจะว่ายไปลงคลองมีน้ำมากกว่า เรียกว่า “ปลาออก” แม่สั่งให้พี่ท้าวกับพี่เจนไปทอดแหหาปลามากิน เหลือเก็บไว้ทำปลาเค็มตากแห้ง ปลาตัวเล็กๆแม่หมักเป็นปลาร้า และน้ำปลาหมักใส่ไหไว้ข้ามปี
บ้านลุงฮวดตั้งยอยักษ์ไว้หน้าบ้านลูกๆจะช่วยกันยกแล้วก็ตักปลาออก ไอ้เสริมจอมทโมนพายเรือผ่านไปกับพ่อมันมีแห 12 ศอกกองอยู่หัวเรือ บ้านป้าป่วนได้พี่องุ่นพายท้าย ส่วนพี่ชิวทอดแห 8 ศอก พวกเด็กๆรุ่นผมมีเรื่องต้องทำเหมือนกัน เหวี่ยงแหไม่ไหว ยกยอยักษ์ไม่ได้ ได้รับมอบหน้าที่ให้ไปยกยอกุ้ง(ฝอย) ใช่แล้ว ตามลาดที่กล่าวถึง “กุ้งออก”มาหากิน
ยอกุ้งทำด้วยคันไม้เหลามนๆสี่คัน สอดในกระบอกไม้ไผ่ที่คันยกสี่รู เชือกสั้นราวคืบผูกมัดกระบอกใส่ขายอโค้งงอไปรัดด้วยมุมยอผ้ามุ้งสีขาวลออตา กะลาใส่รำละเอียดคลุกเคล้ากับดินเหนียวปั้นกลม โยนใส่กลางยอกุ้งเป็นเหยื่อล่อให้กุ้งปลาตัวเล็กๆเข้ามากิน พวกเราอันหมายถุงผม ทุย พี่จัน อ็อด อิม ท้อ ชื้อ พายเรือกันไปลำละ 2-3 คน มีอาวุธเป็นยอผ้ามุ้งขนาดกว้างสามศอก แล้วก็ไปเริ่มต้นกันที่ลาด
เรือแต่ละลำจะจอดเสียบหัวเข้าไปในดงข้าว ปักด้วยพายหรือหลักไม้ไผ่ มัดด้วยโซ่ให้เรือนิ่ง เราแบ่งอาณาเขตกันด้วยระยะของยอเป็นหลัก หัวเรือทุกลำจึงหันเข้าหากัน เหมือนเป็นวงกลมล้อมถล่มข้าศึก ยอถูกยกไปวางตั้งลำละ 2-3 คัน โยนลูกตุ้มดินเหนียวคลุกรำละเอียดไปกลางยอ นั่งรอกันสักระยะ ก็ยกยอใครยอมัน กุ้งออกมากน้อยก็จะได้เห็นเมื่อยกขึ้นมาแล้ว เสียงกุ้งดีดหางกันดังแซ่ๆ พรานกุ้งฝอยใช้ขันอลูมิเนียมที่เตรียมมาตักกุ้งใส่กระบุงใบเขื่อง
ยอใครได้กุ้งมากจนยอตุง ก็จะร้องฮู้ๆๆ เสียงดังขรมเชียว ความตื่นเต้นดีใจหมายถึงว่าเมื่อกลับไปถึงบ้าน ยังจะได้กินกุ้งพล่าอีกด้วยนะซี ยุงทุ่งดุเอาเรื่องเหมือนกัน เสียงตบยุงดังเผี่ยะพะ เสียงบ่นเรื่องลืมยากันยุง เสียงด่าเรื่องใครสักคนทำเรือเอียงเกือบจะล่ม แต่เสียงจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่ยกยอขึ้นมาแล้วได้กุ้งตุงยอ
“พรุ่งนี้ กูว่าจะผัดกุ้งกับน้ำปลาไปกินที่โรงเรียน” ผมคุยเสียงดัง
“กูด้วย” ทุยสอดขึ้นมาบ้าง
“มึงทำเป็นเหรอ” ผมถามแล้วมองหน้ากวนๆ ทุยตอบไม่ยีหระ
“แม่ทำให้ใส่ปิ่นโตไปซี หะ หะ หะ” ทุยหัวเราะแบบลิเกทุเรียนใหญ่อย่าง
ผู้ชนะ ทุกคนที่อยู่ในแวดวงล้อมยกยอกุ้งหัวเราะตาม ไอ้คู่นี้กัดกันประจำ
“กูจะพล่าไปกิน อร่อยก็แล้วกัน”อิมตะโกนขึ้นบ้าง
“กูด้วย” ท้อเสริม แล้วก็หัวเราะด้วยน้ำลายไหลย้อย
แต่ละวันที่กุ้งออก พวกเรามีหน้าที่ต้องทำเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน จนกว่าน้ำในลาดจะแห้งลงมากกว่านี้ และนั่นหมายถึงกุ้งจะหนีลงในคลองห้วยคันจนสิ้น เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์สรรพชีวิตต้องดิ้นรนหาทางไป ในแต่ละปีที่กุ้งออก พวกเราทำงานตามวัยได้มากกว่าที่คิด จนแม่บ่นขึ้นมาลอยๆ
“ผลงานมึงสองคนนี่ บ้านเรามีกะปิกินกันทั้งปี”
ใช่แล้วคร๊าบ กุ้งที่ออกมานั้นช่างมากเหลือคณนา ผมยกปีหนึ่งแค่สิบกว่าวันก็ได้กุ้งหลายกระบุง แม่จะเอากุ้งที่เหลือกินสดๆไปตากแห้งบนกระด้ง กุ้งตากแดดแค่วันเดียวก็เปลี่ยนเป็นกุ้งสีส้มอ่อนๆ ลำตัวที่เคยเหยียดจะงองุ้มเป็นครึ่งวงกลม เปลือก หนวด กรี ขา ไม่ต้องเด็ดออกเลย อีกแค่สองวันแม่ก็ตั้งครกยกสากมาเทกุ้งใส่แล้วก็ให้พี่เจนตำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้กุ้งเละๆในก้นครก แม่เทเกลือเม็ดใส่ลงไปผสม แล้วก็ให้พี่เจนตำต่อไปเรื่อยๆ เนื้อกุ้งแห้งหมาดๆผสมเกลือป่นเป็นเนื้อเดียวกัน แม่จึงตักใส่ไหเล็กๆ ปิดปากด้วยใบตองกล้วย มัดแน่นด้วยเชือกกล้วย แล้วก็เรียงไว้ที่นอกชานบ้าน “อบด้วยไอแดด” อีกครั้ง
ค่ำที่พายเรือกลับจากยกยอกุ้ง แม่จะคัดเลือกแต่กุ้งตัวอวบอ้วน แยกใส่กะละมังใบกลาง ล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วแม่ก็ยกเทใส่ในกระทะบนเตา ใต้ด้วยไฟอ่อนๆ น้ำจากตัวกุ้งเยิ้มไปทั้งกระทะ ชั่วไม่กี่วินาทีกุ้งเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมส้มน่ากิน ผมใช้มือหยิบหนวดได้ก็โยนเข้าปาก ทุยก็ทำเหมือนกัน แต่พลาดเป้าเสียส่วนใหญ่ กุ้งตกไปที่กระดาน เสียงแม่หัวเราะ ขำที่ลูกชายซุกซน
แม่ยกกระทะกุ้งเทลงกะละมัง แล้วก็หันไปคว้าครก สาก เอาออกมาตั้ง เสียบหัวหอมแดง 7-8 หัว กระเทียมอีก 2-3 หัว พริกแห้งใหญ่อีก 10 เม็ด แหย่เข้าไปใต้เตาไฟ ครู่เดียวกลิ่นไหม้กลีบหอมกระเทียมและพริกส่งกลิ่นฉุย แม่ยกออกมาแล้วก็รูดใส่ครก โขลกไปจนแหละ หอมแดงสุกรสหวานๆ เละเทะปนเปกับเนื้อกระเทียมขาวๆ พริกแห้งเผาส่งกลิ่นหอม แหลกไปด้วยฝีมือตำของพี่เจน ดูรวมๆแล้วไม่น่ากินเลย
แม่แช่มะขามเปียกในชามน้ำค่อน แหลกเหลวทีละนิดๆ จนเละเหลว แม่ขยำจนแหลกยุ่ย เหลือเพียงเนื้อมะขามสีน้ำตาลขุ่นๆ ผมหั่นผักชีฝรั่งเป็นชิ้นเล็กๆ ทุยเดินไปเด็ดสะระแหน่ที่ปลูกไว้ในกะละมังแตกหน้านอกชานเรือน พี่เจนซอยใบมะกรูดจนละเอียด แล้วก็หั่นต้นหอมเช่นกัน พี่จันนั่งอ่านหนังสือเหมือนไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันอยู่ พ่อดูดบุหรี่อยู่ข้างๆประตูด้านติดคลอง
ส่วนผสมเครื่องพล่ากุ้งฝอยของแม่แล้วเสร็จ แม่รวมมาปรุงในกะละมังกุ้งคั่วสุกสีชมพูอมส้ม ใส่เครื่องพริกเผาหอมกระเทียมลงไปคลุกเคล้าจนเข้ากันดี แม่เหยาะน้ำมะขามเปียกลงไปเคล้า ใช้นิ้วจิกชิมแล้วก็เพิ่มปริมาณน้ำมะขามเปียกลงไปจนได้ที่ แม่หว่าน น้ำตาลทรายบางๆ ชิมจนออกรสเปรี้ยวนำเค็มตามหวานนิดๆตามสูตรของแม่ สุดท้ายแม่ใส่ใบมะกรูด ต้นหอม และผักชีฝรั่ง ซอยลงไปรวม โรยใบสะระแหน่พรมหน้าเป็นอันว่าตักใส่จานไปกินได้ มื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยจนต้องกินข้าวถึง 2 ชาม
เมื่อน้ำลดทั้งปลาและกุ้งออกจากทุ่งนามาสู่คลองห้วยคัน พวกผมเด็กๆก็พลอยได้มีส่วนร่วมในวิถีชีวิตคนบ้านทุ่ง มันช่างแสนสุขสมอารมณ์เหลือ อิ่มเอมเปรมใจกันไปทั่วทุ่ง ทิวรวงข้าวสีทองผ่องอำไพกำลังจะได้เกี่ยวเก็บในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชาวนาใบหน้าแย้มยิ้มเมื่อนาดีมีรวงแน่น ส่วนผมกับทุยก็จะได้ไปเก็บข้าวตกยามหนาว สนุกสุดๆ