ช่วงหนึ่งแห่งกาลเวลา ณ สาวัตถี ๑
ควายอินเดียในวัดเกาหลี
“เอื้อยนาง”
เราชาวไทยพุทธเถรวาท ย่อมเคยรับรู้เรื่องราวในพุทธประวัติ และคุ้นเคยกับชื่อ “เมืองสาวัตถี” อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะ สาวัตถีเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นโกศล เป็นมหาอำนาจสำคัญควบคู่กับ เมือง ราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ
สาวัตถี หรือ ศราวัสตี ในภาษาสันสกฤต หรือ Sravasti ในภาษาอังกฤษ ปัจจุบันเป็นเขตเมืองโบราณ ตั้งอยู่ในแถบตำบลที่เรียก สาเหถ-มาเหถ( (Saheth-Maheth) ในรัฐอุตตรประเทศ อินเดีย มีซากโบราณสถานสำคัญในช่วงพุทธกาลอยู่หลายแห่ง เช่น วัดเชตวันมหาวิหารที่พระพุทธองค์ทรงจำพรรษาอยู่ถึง ๑๙ พรรษา ในเวลา ๒๕ พรรษาที่พระองค์ประทับ ณ เมืองสาวัตถี และยังมีสถานที่อื่น ๆ ทั้งที่เป็นวัด เคหาสถานของบุคคลที่เกี่ยวข้องในช่วงนั้นยังคงปรากฏร่องรอยอยู่มาก เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา ฯลฯ
ซากโบราณสถานเหล่านี้ในปัจจุบันได้รับการบูรณะ อนุรักษ์ไว้โดยทางการอินเดีย กลายเป็นสถานที่ที่ชาวพุทธทั้งหลายจากทั่วโลกเดินทางไปกราบไหว้ นมัสการ สวดมนตร์ ภาวนา ทำสมาธิ น้อมจิตระลึกพระคุณสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา กลายเป็นแหล่งชุมชนขยายใหญ่ขึ้นทุกวันสร้างงานสร้างเงินให้อินเดียไม่น้อยในแต่ละปี ปัจจุบันรอบเมืองโบราณสาวัตถีเป็นที่ตั้งวัดพุทธนานาชาติรองรับนักแสวงบุญ(รวมทั้งนักศึกษาผู้สนใจ และนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ) เช่น วัดไทย เกาหลี(ใต้) พม่า ศรีลังกา ทิเบต จีน เป็นต้น
ตามคติการนับพุทธศักราชของไทย ปี ๒๕๕๕ นับเป็นวโรกาสมงคลสมัย เพราะหากนับรวมตั้งแต่ช่วงพระพุทธองค์ตรัสรู้ และบำเพ็ญพุทธกิจหลังจากนั้นตลอด ๔๕ พรรษาด้วยแล้ว วันวิสาขาปีนี้ก็จะบรรจบครบ ๒๖๐๐ ปี ชาวพุทธจัดฉลองพุทธชยันตีกันยิ่งใหญ่ยิ่งมีคนหลั่งไหลสู่แดนพุทธภูมิกันตั้งแต่ต้นปี เพื่อนมัสการสังเวชนียสถานรำลึกพุทธคุณไม่ขาดสาย
บ่ายคล้อยแห่งกุมภาพันธ์นั้น คณะของเราเข้าพักในวัดพุทธเกาหลี ชายขอบแห่งสาวัตถีที่มีทุ่งดอกมัสตาร์ดกำลังเหลืองอร่ามสะพรั่งสะพราวอยู่โดยรอบ
และดอกมัสตาร์ดนี้ ยังมาเหลืองอร่ามพร่างพราว เป็นผืนพรมสีเขียวสลับเหลืองอยู่หน้าอาคารพักหลังใหญ่รูปตัวแอลในวัดเกาหลีนี้ด้วย วัดแห่งนี้มีเนื้อที่กว้างขวาง แบ่งส่วนที่เป็นอาคารพักนักแสวงบุญ และเขตสังฆาวาสออกจากกันด้วยทุ่งมัสตาร์ดดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งส่วนที่เป็นสวนผัก คอกสัตว์ และสวนป่าที่มีทิวไม้สูงบดบังให้มองเห็นยอดแหลมของโบสถ์ วิหาร โผล่พ้นขึ้นเหนือยอดไม้เขียวอยู่ลิบลิ่ว ดูไกล ๆ ราวกับเป็นยอดปราสาทบนวิวานแห่งอินทรา
ภายในอาคารพักชั้นล่าง นอกจากห้องพักที่เรียงรายตามความยาวของแขนและขาของตัวแอลแล้ว ตรงกลางที่หักมุมของอาคารจัดเป็นห้องรับประทานอาหารกว้างโล่งแบ่งส่วนหลังให้เป็นห้องครัว จัดเตรียมอาหารไว้ให้ความสะดวกแก่คณะผู้มาพักแรมเป็นอย่างดี คุณรุ่งสุนีย์ หัวหน้าคณะจึงได้โอกาสนำวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากเมืองไทย(และแวะซื้อผัก ผลไม้ สด ๆ ของอินเดียตามตลาดทางผ่าน)ออกมา แล้วเราชาวคณะก็ช่วยกันคนละไม้ละมือด้วยน้ำใจไมตรี ยิ้มแย้มด้วยหัวใจเปี่ยมสุขด้วยแรงบุญ
แม้อากาศจะค่อนข้างหนาวเย็น แต่แดดยังใส ส่งให้ดอกมัสตาร์ดหน้าอาคารพักแย้มยิ้มเชิญชวน คนอย่างเอื้อยนางหรือจะไม่เจียดเวลาลีลาไปเยือน เลาะเลียบไกลออกไปจนถึงส่วนที่เป็นสวนผักหลากชนิด และสีสันที่ปลูกไว้เป็นแปลงๆ ให้อัศจรรย์ตาโตเป็นนักหนาที่ได้เป็นหัวกาดขาวโผล่พ้นจากดิน หัวใหญ่โตราวกับมีใครเอาลูกฟักแฟงมาฝังดินไว้ เป็นฟักแฟงที่มีใบประดับบนยอดชูขึนโผล่พ้นดิน ดูน่าขำ
มัวเดิน ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ ทันใดนั้น ฟูด ๆๆ ...
โอ้ย...เจ้าสัตว์เขาโง้ง ที่ชื่อว่า บัฟฟาโล่ ควาย ... มายืนทำหน้าถมึงทึงราวกับเกรงกลัวคนจะมาแย่งถิ่นกินหญ้าฟางของมัน ห่างออกไปเจ้าลูกแหง่ทำหน้าตื่นตระหนกไม่แพ้เรา ผิดแต่มันพยายามจะถอยหนี แต่เรากลับยกกล้องขึ้นมากด ๆ ๆ ...ขณะเจ้าตัวใหญ่หมายตาว่าจะพุ่งมาชน หากแต่ว่ามันมีเชือกผูกโยงไว้กระนั้นก็น่ากลัวจนเราต้องถอยหลัง เกือบปะทะกะลุงแขกผู้มาพร้อมกับรอยยิ้มขัน และทำไม้ทำมือส่งภาษาบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกนะนายจ๋า อีนี้ควายแขกที่ผูกไว้แล้ว ไม่สามารถทำอะไรใครได้แล้วนะนายจ๋า...” (เราแปลภาษาของเขาเอาเอง...ว่าคงประมาณนั้นแหละ)
ควายแขกเหล่านี้มีวัดเกาหลีเป็นเจ้าของ แต่คนเลี้ยงเป็นชายชราหน้าแขกที่ยิ้มกว้างอย่างใจดี มาบอกเราด้วยภาษาพูดที่ฟังไม่ออก แต่ภาษามือ และสีหน้าบอกให้เข้าใจถึงไมตรี “มันไม่ดุหรอก ดูซี ดูซี...” พลางหันไปส่งภาษากับเจ้าสัตว์หน้าขนเขาโง้งบอกให้อยู่นิ่ง ๆ แอ็คท่าสวย ๆ ให้ไทยเขาถ่ายรูปนะจ๊ะ ...
เจ้าตัวใหญ่ท่าทางจะฟังรู้เรื่อง แต่เจ้าตัวเล็กพอเห็นเจ้าของมาเท่านั้นแหละก็ได้ใจ จึงออกอาการดื้อดึงไม่ยอมอยู่นิ่งหรือถอยหนีอีกแล้ว เป็นเราต่างหากที่ยอมถอยกลับสู่ที่พักเพราะได้เวลาอาหารเย็นพอดี
ควายแขก หรือ ควายอินเดีย
ชาวอินเดียนอกจากจะเลี้ยงวัว แกะ แพะ มากมายแล้ว ก็จะเห็นมีควายอยู่ทั่วไปตามบ้านเรือน ถนนหนทาง แม้กระทั่งในวัดอย่างที่เห็น เพราะนอกจากจะเลี้ยงไว้ใช้งานมันยังให้น้ำนมอีกด้วย ว่ากันว่าน้ำนมควายมีคุณค่าทางอาหารมากกว่านมโค มีคอเลสเตอรอลต่ำกว่า แต่มีโปรตีนสูงกว่านมโค นมแพะ นิยมนำมาผลิตเนย ชีส(Cheese) และโยเกิร์ต ที่เห็นง่าย ๆ ในที่นี้ก็มูลของมันไง คือปุ๋ยบำรุงทุ่งมัสตาร์ด และสวนผักที่ทำให้หัวผักกาดใหญ่โตเป็นฟักแฟงนั่นแหละ เป็นพืชผักอินทรีย์ไร้สารเคมีปนเปื้อนอย่างที่ชาวโลกกำลังหวนหา โดยเฉพาะในไทยที่เราสามารถกำจัดวัว ควาย ออกจากท้องทุ่งได้อย่างหมดจด (ต่อไปถ้าใครจะด่าใครว่า “ควาย” อย่าลืมเติมคำว่า แขก เป็น “ควายแขก” ไปด้วยนะคะจึงจะมองเห็นภาพพจน์ชัดเจน) เคยอ่านข่าวมาว่า นักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยผลิตภัณฑ์ทางด้านนมแห่งอินเดีย ได้ทำการโคลนนิ่งควายสำเร็จเป็นตัวที่ ๒ แล้ว (ตัวแรกก่อนนั้นมีอายุเพียง ๑ สัปดาห์ก็ตายจากไป) เมื่อ ๒๕๕๒ ชื่อ “การิมา”
ชาวอินเดียนอกจากจะดื่มนม ใช้ผลิตภัณฑ์จากนมมาแต่โบราณแล้ว ยังใช้นมในด้านอื่น ๆ อีกด้วย ตอนต่อไปเลยจะเล่าเรื่อง นมกับความล่มสลายแห่งศากยวงศ์ สู่กันฟังนะคะ ไหน ๆ ก็มาถึงสาวัตถีแล้ว มีอะไร ๆ ต้องเล่ามากมายละ
๐๐๐๐