ช่วงหนึ่งแห่งกาลเวลา ณ สาวัตถี ๒
น้ำนมกับความล่มสลายแห่งศากยวงศ์
“เอื้อยนาง”
เรื่องของน้ำนมมีความสำคัญในวิถีชีวิตของชาวอินเดียมาแต่โบราณ นอกจากใช้ดื่ม ผลิตเป็นเนย ชีส แล้ว ในประวัติทางพุทธศาสนาของเรา จะพบว่าชาวภารตะเขาใช้นมในหลาย ๆ โอกาส เช่น ใช้รดบำรุงต้นไม้อย่างจากประวัติของต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา ที่สำคัญยิ่งใหญ่ก็คือนางสุชาดาได้ใช้ปรุงข้าวมธุปายาสถวายสมณะสิทธัตถะก่อนการตรัสรู้ ที่เคยเล่ามาแล้วในชุด Incredible อินเดีย ครั้งนี้มาถึงสาวัตถี แผ่นดินที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ถึง ๒๕ พรรษา ก็อยากเล่าถึงเรื่องน้ำนมในความเชื่อที่มีอีกอย่างหนึ่ง และมีความเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของศากยวงศ์ คือราชวงศ์แห่งพระพุทธโคดมของเรานี่เอง
โดยเหตุแห่งระบบการแบ่งชั้นวรรณะ ยึดถือชาติตระกูลเหนียวแน่นเคร่งครัดในสังคมอินเดีย มักเป็นตัวปัญหา ขัดขวางความเจริญของอินเดีย ทั้ง ๆ เป็นแหล่งกำเนิดอารยะธรรมก่อนใคร แต่กลับยังล้าหลังไม่เจริญเท่าที่ควรจะเป็น ด้วยระบบนี้มักเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง ขาดความสามัคคี เกิดการประหัตประหารถึงกับดับสูญเผ่าพันธุ์แม้มาจากสาเหตุเพียงเล็กน้อย ผลกลับลุกลามใหญ่โต ดังเรื่องของ พระวิฑูฑภะ โอรสแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์เมืองสาวัตถีในยุคพุทธกาล
ช่วงเวลานั้นแคว้นสักกะมีเมืองหลวงอยู่ที่ กรุงกบิลพัศดุ์ เป็นประเทศราชของแคว้นโกศล ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้ปกครองอยู่ และด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่งจากเหล่าพสกนิกรชาวเมืองสาวัตถีเป็นมาก แต่ละวันเศรษฐี มหาเศรษฐีก็จะนิมนตร์พระภิกษุให้ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน หรือ คฤหาสน์แห่งตนเป็นนิจสิน แต่กลับห่างเหินราชสำนักของพระองค์ให้รู้สึกน้อยหน้าจึงคิดอยากเกี่ยวดองอยากเป็นญาติกับพระพุทธองค์ จึงให้ทูตไปขอพระธิดาจากศากวงศ์ที่กบิลพัศดุ์มาเป็นมเหสี
ศากยวงศ์นั้นได้ชื่อว่า มีความหยิ่งในความเป็นวงศ์จากพระอาทิตย์ของตน และถือปฎิบัติ เรื่องการแต่งงานในสายเลือดอย่างเคร่งครัด จะไม่ยอมให้เลือดของตนไปปนกับผู้อื่นยกเว้นโกลิยวงศ์ แห่งกรุงเทวทหะ ที่เป็นเครือญาติกันเท่านั้น แต่ครั้งนี้เมื่อเจ้าประเทศราชจากแคว้นมหาอำนาจโกศลยื่นคำขอมา ก็ขัดไม่ได้จึงจำใจส่งไปตามคำขอ แต่เป็นการส่งไปแบบย้อมแมวขายก็ว่าได้ เพราะได้ส่งพระนางวาสภขัตติยา ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้ามหานาม(ผู้ครองกบิลพัศดุ์ต่อจากพระเจ้าสุทโธนะ)ที่เกิดกับนางทาสีชื่อ นาคมณฑา ธิดาวาสภขัตติยจึงถือเป็นสายเลือดไม่บริบุทธิ์ของศากยวงศ์ ไม่ได้รับการเลี้ยงดูยกย่องแบบเจ้าหญิงแต่อย่างใด
พระเจ้าปเสนทิได้รับนางมาเป็นพระมเหสีด้วยความไม่รู้ชาติกำเนิดฝ่ายมารดาของนาง จนเกิดราชบุตรด้วยกัน ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายวิฑูฑภะ
แล้ววิฑูฑภะ ก็เติบโตขึ้นมาในฐานะเจ้าชายแห่งสาวัตถีอย่างเต็มภาคภูมิ แต่แปลกตรงที่พระญาติฝ่ายมารดาไม่เคยมาเยี่ยม หรือติดต่อคบหาให้รู้จักผูกพันแต่ประการใดเลย องค์ชายเฝ้าเพียรถามพระมารดาตามประสาเด็กก็ได้รับคำอธิบายแบบบ่ายเบี่ยง หรือหาเหตุก็อ้างเรื่อยไป จนอายุได้ ๑๖ ปีเจ้าชายก็ประกาศจะไปเยี่ยมพระญาติที่ กบิลพัศดุ์ คราวนี้ฝ่ายกบิลพัศดุ์ก็เดือดร้อนเป็นการใหญ่ หนึ่งก็เกรงอำนาจบารมีของฝ่ายโกศล ๑ ก็เคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติในสายเลือด ในตระกูล จะให้คนในตระกูลยกมือไหว้ วิฑูฑภะ สายเลือดปนนางทาสีไม่ได้เด็ดขาด จึงวางแผนเป็นการด่วน ให้ราชนุกูลทั้งหลายที่มีอาวุโสน้อยกว่า ที่จะต้องยกมือไหว้ทำความเคารพวิฑูฑภะออกจากเมืองไปอยู่ที่อื่นเสีย ครั้นวิฑูฑภะมาก็ได้แต่เป็นฝ่ายยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าทั้งนั้น ไม่มีใครเลยที่อาวุโสน้อยกว่าให้แปลกใจ ความมาแตกตอนขากลับออกจากเมืองไปแล้วมีข้าราชบริพารคนหนึ่งลืมอาวุธ หรือสิ่งของไว้จึงต้องกลับไปเอาโดยด่วน ขณะทางฝ่ายกบิลพัศดุ์กำลังทำการล้างเสนียดเป็นการใหญ่ โดยใช้น้ำผสมน้ำนมเทราดขัดล้างแผ่นกระดานที่พระวิฑฑูภะประทับนั่งเพิ่งลุกจากไป พลางพวกนางก็ก่นด่าไปสาวไปถึงที่มาที่ไปแห่งความเสนียดจัญไรอันเกิดมาจากหลานที่มีเลือดนางทาสีคนนี้ด้วย
ความลับของวิฑูฑภะจึงถูกเปิดเผย เจ็บปวดกลับบ้านแล้วยังถูกพระบิดา คือพระเจ้าปเสนทิโกศลพิโรธ ปลดตำแหน่งพระมารดาลงให้เป็นอยู่อย่างนางทาสี จนพระพุทธองค์ต้องแสดงเหตุผล ความมีสายเลือดฝ่ายพ่อย่อมสำคัญกว่านั่นแหละ พระนางจึงได้กลับมีฐานะอย่างเดิม แต่ความเจ็บแค้นของเจ้าชายวิฑูฑภะกลับยังฝังแน่น จนมีโอกาสได้ราชสมบัติครองสาวัตถีแทนพระบิดานั่นแหละจึงได้ยกกองทัพใหญ่ไปแก้แค้น ทำลายกบิลพัศดุ์จนย่อยยับ เอาเลือดจากคอของพระญาติราชวงศ์ศากยะล้างแผ่นกระดานที่เคยใช้น้ำนมล้างเสนียดก่อนนั้นทดแทน
เรื่องนี้ ทำให้เราได้รู้การใช้น้ำนมในอีกมิติหนึ่งของชาวชมพูทวีปในช่วงพุทธกาล