http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 07/08/2024
สถิติผู้เข้าชม14,367,671
Page Views16,699,284
« October 2024»
SMTWTFS
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

บุปผามาลี..มีคุณ

บุปผามาลี..มีคุณ

บุปผามาลี..มีคุณ

ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ

E-mail:thongchai_paoin@hotmail.com

                  กระดุมหยก

                  ผมเดินทางไปทั่ว ได้พบเห็นดอกไม้แสนงามที่ใดก็อดใจถ่ายภาพมาเก็บไว้ไม่ได้เลยสักครั้งเว้นแต่ไม่มีช่วงเวลาพอก็ ชวดฉลูขาลเถาะ  

                  เช่นดอกกระดุมหยก ต้นนี้ผมพบที่ริมหนองหาร จังหวัดสกลนคร แล้วไปพบที่ชายป่าจังหวัดระนอง เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี สูงราวๆฟุตหนึ่ง กิ่งก้านมีขนสีขาวทั่วไป ใบเดี่ยวเวียนสลับขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ดอกเดี่ยวกลีบวงนอกสีม่วงสด รูปดอกเข็มปลายแยก 3 แฉก ดอกรวมบานเต็มที่กว้าง 2-3 ซม.ไม่มีกลิ่น ออกดอกทั้งปี ผลแห้งแตกเป็นเม็ดขนาดใหญ่ รูปรีสีน้ำตาลดำ ตั้งแต่เพาะจนออกดอกใช้เวลา 110 วัน ประมาณนั้น

                   ปลูกได้ตั้งแต่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 100-900 เมตร อุณหภูมิเหมาะสมระหว่าง 20-38 องศาเซลเซียส


                   มีชื่อสามัญว่า กระดุมไพลิน กระดุมม่วง(ปัตตานี)  Lark daisy,  Creeping daisy  ชื่อวิทยาศาสตร์  Centratherum punctatum Cass.  อยู่ในวงศ์  ASTERACEAE  ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์  ไนจิเรีย  ไทย จากฟิลิปปินส์ถึงออสเตรเลีย และเขตร้อนทั่วไป

                    ผมชอบดอกสีม่วงสด ปลูกง่ายตายยากให้ดอกตลอดปี นำเมล็ดมาหว่านลงแปลงเป็นไม้ประดับได้สวยงาม หรือถ้าจะปลูกเป็นไม้กระถางรูปแบบต่างก็ทำได้ ที่แน่นอนเลยเป็นดอกไม้งามริมทางที่ทรงคุณค่า ในทางสมุนไพรให้สรรพคุณดังนี้คือ  ไม่ระบุส่วนที่ใช้   กระตุ้นให้เกิดพลังงานสูงตามธรรมชาติ (Energy Booster)


                    นอกจากนั้นยังพบว่าสามารถปลูกเป็นเครื่องประทินผิว เพราะว่าน้ำมันที่สกัดได้จากใบกระดุมหยกมีสารเคมีสำคัญได้แก่  globulol, sesquisabinene, 1,8-cineole, β-selinene, caryophyllene oxide, β-eudesmol, bicyclogermacrene and elemol. สารเคมีที่นักวิเคราะห์วิจัยรู้คุณค่าว่า...มีคุณ

 

 

 

 

 

 

 

 

บุปผามาลี..มีคุณ

ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ

E-mail:thongchai_paoin@hotmail.com

             เก็กฮวย


            ตอนเด็กๆแม่พาไปตลาดครั้งหนึ่ง ดีใจยิ่งกว่าได้แก้ว แม่พาไปกินบะหมี่เกี๊ยวเจ้าอร่อยแล้วสั่งน้ำเก็กฮวยหอมเย็นชื่นใจ เป็นน้ำสีเหลืองอ่อน เป็นกลิ่นหอมเฉพาะตัว จำได้ไม่ลืมเลย

            โตขึ้นรับราชการกรมป่าไม้ไปปลูกป่าต้นน้ำบนดอยสูงแถวดอยอินทนนท์-แม่แจ่ม จึงได้เห็นต้นเก็กฮวยจริงๆ เป็นทุ่งดอกไม้สีขาวพราวไปทั้งทุ่ง สวยจับใจ พอเริ่มเขียนเรื่องต้นไม้ยาน่ารู้จึงอยากรู้ว่า ต้นเก็กฮวยมีความเป็นมาอย่างไร

             ตอนแก่นี้แหละจึงรู้ว่า ต้นเก็กฮวยนั้นเรียกกันว่าต้น เบญจมาศหนู  ดอกขี้ไก่  เบญจมาศ  Edible Chrysanthemum, Florist Chrysanthemum, มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chrysanthemum  morifolium Ramat.  อยู่ในวงศ์  ASTERACEAE  มีถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์อยูในประเทศ จีนและญี่ปุ่น ที่ผมเห็นในแปลงปลูกของชาวเชียงใหม่นั่น นำพันธุ์มาปลูกต่างถิ่นละครับ 


            เก็กฮวยเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 30-120 ซม. มีกลิ่นหอม  ทุกส่วนมีขนนุ่มสีขาว    ใบ  เดี่ยว เวียนสลับ รูปไข่ ขนาดแตกต่างกัน ขอบใบจักเป็นแฉกคล้ายขนนก ดอกออกเป็นกระจุก ตามซอกใบ  ขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน  บานเต็มที่ 2-3 ซม. กลีบดอกสีขาว เหลือง ชมพู แดง ม่วง น้ำตาล ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ กลีบดอกรูปท่อทั้งหมด  ออกดอกตลอดปี ดอกจะเล็กใหญ่ขึ้นกับสายพันธุ์และดินอุดมสมบูรณ์หรือไม่  

            ผล  แห้ง เป็นสัน เกลี้ยง   เมล็ด ขนาดเล็กมากการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดซึ่งมีขนาดเล็กมาก ค่อนข้างยาก จึงนิยมเพาะกล้าขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือการแยกหน่อ ชอบมากถ้าดินร่วนปนทราย  ระบายน้ำดี  มีความเป็นกรดด่างเป็นกลาง  อุณหภูมิ 12-35 องศาเซลเซียส  ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 100-500 เมตร  สูงกว่านี้อาจออกดอกช้าหรือไม่ก็ต้องควบคุมอุณหภูมิแบบในเรือนกระจก

            แม้ดอกเก็กฮวยจะเล็กแต่ก็สวยงาม ซ้ำมีกลิ่นหอม แต่ก็ไม่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับลงแปลงหรือใส่กระถาง เพราะว่าลำต้นอ่อนโอนเอนไปมาง่ายไม่สง่างาม ไม่ต้องโดนลมก็ล้มเผละได้ง่ายๆ จึงนิยมปลูกเพื่อเก็บดอกมาตากแห้งเชิงพาณิชย์เสียมากกว่า ใช้ดอกตากแห้งชงเป็นน้ำชาดื่มชื่นใจผ่อนคลายหายเครียด นอกจากนั้น ใบและลำต้นใช้ตำพอกแผลน้ำร้อนลวก  แก้โรคผิวหนังอื่นๆ 

             ส่วนใบและดอก  คั้นสดเอาน้ำใส่บาดแผล  น้ำต้มดื่มแก้โรคนิ่ว  โรคต่อมน้ำเหลือง  วัณโรค  ไม่ระบุส่วนที่ใช้  แก้โรคตับ  ไขข้ออักเสบ  โรคตามืดในเวลากลางคืน  โรคประจำเดือนไม่มาตามปกติ  ปวดหัว  วิงเวียนศีรษะ  หูอื้อ  ป้องกันไม่ให้ผมหงอก  เป็นยาขับลมในลำไส้  เจริญอาหาร  บำรุงเส้นประสาท  สายตา  เป็นไม้ดอกแสนสวยอีกต้นหนึ่งที่มีคุณ


บุปผามาลี..มีคุณ

ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ

E-mail:thongchai_paoin@hotmail.com

          แก่นตะวัน   


             ต้องกล่าวว่า ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ในโลกนี้ สามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อความคงอยู่ ดูแต่ต้นแก่นตะวันต้นนี้ซิครับ เดิมทีเดียวกำเนิดมาแถวทวีปอเมริกาเหนือที่ค่อนข้างหนาว แต่กลับมีการกระจายพันธุ์ไปปลูกได้ทั่วทั้งเหนือเส้นศูนย์สูตรและใต้เส้นศูนย์สูตร ช่างน่าอัศจรรย์

            ต้นแก่นตะวันมีชื่อสามัญว่า Jerusalem artichoke , sunroot, sunchoke, topinumber   มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Helianthus tuberosus L. อยู่ในวงศ์  ASTERACEAE  เป็นไม้ล้มลุกอายุสั้น ทุกส่วนของลำต้นมีขนคล้ายหนาม สูง 1.5-2.0 เมตร  มีเหง้าหรือหัวใต้ดิน  เนื้อหัวสีนวลอมชมพู


             มีใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบหยักเป็นสามแฉกคล้ายใบบัวตอง ดอกเดี่ยวเกิดตามซอกใบ และปลายยอด เป็นดอกช่อกระจุก ช่อละ 3 ดอก  กลีบดอกชั้นนอกสีเหลือง รูปรี บาง ปลายหยักเว้า 10-12 กลีบ กลีบดอกวงในรูปหลอดเป็นกระจุกแน่น ขนาดดอกบานเต็มที่ 4.5-7  ผล แห้ง เมล็ดขนาดเล็ก รูปเรียวยาว สีน้ำตาลดำเมื่อแก่   

              ต้นแก่นตะวันนี่นอกจากปลูกลงแปลงเป็นไม้ประดับสวยงามแล้วยังปลูกเพื่อเก็บหัวหรือเหง้ามาประกอบอาหารหรือขาบเชิงพาณิชย์ ผลผลิตเหง้า 2.5-2.8 ตัน/ไร่ ใช้ระยะเวลาปลูก 4 เดือน เก็บเกี่ยวด้วยการขุด นิยมขยายพันธุ์ด้วยหัว โดยหั่นหัวออกเป็นสีเหลี่ยมขนาดลูกเต๋า 2-3 ซม. บ่มในขี้เถ้าแกลบซึ่งสีดำดูดความชื้นได้ดี รดน้ำให้ชุ่ม 1 สัปดาห์จะเกิดการแตกหน่อ แล้วนำไปฝังดินกลบบางๆ ระยะปลูก 50 ซม. ปลูกได้ทุกฤดู ต้นฤดูหรือปลายฤดูฝน

             ในความคิดผมมองว่าต้นแก่นตะวันนั้นปลูกเป็นเชิงพาณิชย์ได้เต็มพิกัด แต่ผลพลอยได้คือทุ่งดอกแก่นตะวันที่สวยสดงดงามเช่นเดียวกับทุ่งทานตะวัน หัวแก่นตะวันสะสมอินนูลิน(Innulin)ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยน้ำตาลฟลุ๊กโตสที่ต่อกันเป็นโมเลกุลยาว ละลายน้ำดีมีความหวานกว่าน้ำตาลซูโครส 1.5 เท่า เก็บหัวไว้ในห้องเย็นยิ่งเพิ่มความหวาน 


              ปลูกเป็นพืชสมุนไพรได้เยี่ยม เพราะว่าหัวแก่นตะวันมีคุณสมบัติช่วยเจริญอาหารกระตุ้นการหลั่งของน้ำดี ขับปัสสาวะ สร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดความเสี่ยงการเป็นโรความดันโลหิตสูง ลดไขมันในเลือด และลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ ทำให้ไม่มีความรู้สึกหิว จึงกินอาหารได้น้อยลง ช่วยป้องกันโรคอ้วน  ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่า ผลผลิตหัวสด 1 ตัน ผลิต เอทานอลได้ 80-100 ลิตร เป็นเอทานอลบริสุทธิ์ 99.5% ผสมทำแกสโซฮอลได้ทันที จัดเป็นพืชพลังงานทดแทนที่ทรงคุณค่า เพราะว่าอ้อย 1 ตัน ให้แอลกอฮอล์ 65-70 ลิตรเท่านั้น


บุปผามาลี..มีคุณ

ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ

E-mail:thongchai_paoin@hotmail.com

              แกลดดิโอลัส


              ดอกซ่อนกลิ่นฝรั่งต้นนี้ มีสีสันสวยงามกว่าซ่อนกลิ่นบ้านเรามากมายนัก เรียกกันว่า Gladiolus,  Sword lilly  มีชื่อวิทยาศาสตร์ Gladiolus   hybrida อยู่ในวงศ์   IRIDACEAE            

มีถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์กว้างขวางมาก เช่นใน ซับ-ซาฮารา แอฟริกา พบถึง 250 ชนิด หรือในยูเรเซียพบเพียง 10 ชนิด   ปัจจุบันกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก มีการผสมพันธุ์(คศ.1800)ลูกผสมมากมายหลายสายพันธุ์ หลายสีสัน มีทั้งพันธุ์เตี้ยและพันธุ์สูง ดอกใหญ่และดอกเล็ก

ลักษณะประจำพันธุ์             

      

    แกลดดิโอลัสเป็นพืชหลายฤดู มีหัว(Corm)เป็นลำต้นใต้ดิน หัวมีใบแห้ง 4-5 ใบ มีใบ

เลี้ยงเดี่ยว รูปดาบ ปลายแหลม โคนใบทับซ้อนกันสองด้าน สีเขียว เกลี้ยง ยาว 25-40 ซม. ดอก แทงช่อดอกโผล่ขึ้นมาที่ส่วนยอด กลม ดอกตูมมีกาบหุ้มสีเขียว กลีบดอกมี 2 วง กลีบดอกวงนอก 3 กลีบ กลีบดอกวงใน 3 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอกหนาเป็นมัน กลีบดอกหลากสีเช่น สีแดง เหลือง ขาว ม่วง ส้ม โอโรส สีอิฐ สีบานเย็น หรือหลายสีในดอกเดียวกัน ดอกหอมและดอกไม่หอม มีทั้งสองอย่าง  ออกดอกตั้งแต่ปลายฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีรายการพบผล


                  นิยมเพาะเมล็ดหัวย่อย(cormel)หรือเพาะเมล็ดหัวใหญ่(corm)  ส่วนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อก็ทำได้ดี ปลูกเป็นไม้ประดับ  นิยมปลูกลงแปลง ในจุดอับลมพัดผ่าน เนื่องเพราะว่าดอกแกลดดิโอลัสมีหลายสี ลำต้นสูงโดดเด่น เพิ่มความอลังการให้กับพื้นที่ที่ตกแต่งได้อย่างสวยงาม แกลดดิโอลัสมีคุณอนันต์ เช่นปลูกเป็นไม้ตัดดอก  ปลูกลงแปลง  ปักหลักยึดลำต้นและก้านช่อดอกให้ตรง ปลูกได้ทั่วไป ตั้งแต่ภาคเหนือ อีสาน และภาคกลางเช่นที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม


         ปลูกเป็นพืชสมุนไพร  ใช้แก้ไข้  แก้โรคท้องร่วง  แก้โรคบิด  แก้โรคทางเดินอาหาร ริดสีดวงทวาร ในอาฟริกานิยมกินหัวแกลดดิโอลัสเป็นอาหาร ว่ากันว่ารสชาติเหมือนกินเชสนัทเผา  ดอกแกลดดิโอลัสตัดดอกขายได้ราคาดี มีตลาดรองรับแน่นอน ผมถ่ายภาพชุดนี้มาจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้ปลูกสาธิตโดยคณะศึกษาศาสตร์ อาจารย์ นิรันดร์ ยิ่งยวด  จึงขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย บทพิสูจน์ว่าไม่ต้องไปเหนือก็มีดอกแกลดดิโอลัสชม ใกล้ๆแค่นี้เอง


Tags : วัดดอนโตนด

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view