มาฆบูชา ๕๖ ที่วัดตอนตะโหนด
อ. ค่ายบางระจัน
“เอื้อยนาง”
อุณหภูมิในกรุงเทพฯสูงจนร้อนดั่งไฟรุม ด้วยบรรยากาศธรรมชาติแวดล้อมที่โอบตัวมันเองอยู่แล้ว มาบวกกับสถานการณ์ทางการเมือง หน้าสิ่วหน้าขวานด้วยใกล้วันเลือกตั้งผู้ว่าราชการ ก็เลยยิ่งเพิ่มดีกรีในใจคนให้รุ่มร้อนร้อยเท่าทวีคูณ
ณ พ.ศ. นี้ ความแตกแยกทางความคิดของคนในสังคมแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายรุนแรง จนเกิดความหวาดระแวงแฝงเร้น ในทุกสีหน้าและแววตา หลบซ่อนซ้อนซุก เป็นแรงกดดันให้หัวใจคนรนร้อนยากจะผ่อนคลาย
มีวันหยุดสักหน่อย มีโอกาสสักน้อย การได้ออกจากกทม. จึงเป็นหนทางที่ใครมีได้ก็ต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้
มาฆบูชาวาร ได้หยุดงานติดกันสองวัน จึงเป็นโอกาสดังกล่าว ออกสู่แดนชนบทประเทศ ไปสูดหายใจยาว ๆ เต็มออกซิเจนให้ปอด และยังได้ทำบุญเติมภูมิคุ้มกันให้จิตใจเข้มแข็ง เรียกสติ สงบกลับคืนมา เพื่อเผชิญสถานการณ์ร้อนรุ่ม ไม่ให้เกิดรุ่มร้อนตาม
วัดดอนตะโหนด คือจุดหมายปลายทาง
วารแห่งเพ็ญเดือนสาม ฟ้าพราวดาวพร่าง วันพิเศษอีกวันในพุทธประเพณี ที่เนื่องมาแต่พุทธประวัติ ตั้งแต่พรรษาแรกของพระพุทธองค์ทรงจำพรรษา ณ เวฬุวัน สวนไผ่ในกรุงราชคฤห์ อันถือเป็นวัดแรกแห่งพุทธศาสนา วารนั้นได้เกิดมีเหตุอัศจรรย์ ขึ้น ณ เวฬุวัน แห่งนั้น จนจำกันมาปฏิบัติบูชา ระลึกถึง เป็นประเพณีพุทธศาสน์สืบมา
วัดดอนตะโหนดก็เช่นกับทุกวัดที่รวมใจชาวพุทธร่วมบุญมาฆบูชา ที่ต่างจากวัดในเมืองใหญ่บางวัด คือ ไม่ต้องเกณฑ์นักเรียน หรือผู้คนจากองค์กรใด ๆ ให้มาร่วมกันสืบสานประเพณี แต่ ณ วัดแห่งนี้ ชาวบ้านทั้งหลายในดอนตะโหนด ชาย หญิง เด็ก หนุ่มสาว ตลอดผู้เฒ่าเล่าชราล้วนมาด้วยศรัทธาแท้จริง
ชื่อดอนตะโหนดแต่ไม่มีต้นตาลแห่งนี้ เป็นดอนเล็ก ๆ บนเนื้อที่เกือบยี่สิบไร่ ร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพรรณ ต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เป็นกลุ่มเป็นดอน มองเข้าไปเห็นหลังคาโบสถ์ วิหาร กุฏิ ศาลา สีเหลืองอร่ามแทรกซอนแมกไม้ โอบล้อมด้วยทุ่งข้าวสีเขียวขจีที่ปูพรมเขียวผืนโตทอดยาวกว้างไกลสุดสายตา มีบ้านเรือนราษฎรผุดพรายอยู่กระจัดกระจาย ถนนหน้าวัดพุ่งตรงจากทางหลวงเหมือนแหวกป่าข้าวเข้าสู่ประตูวัด
พูดไปแล้ว ก็เหมือนหลับฝันไป ชั่วกระพริบตา เพียงเวลา ๒ ชั่วโมงชีวิตที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายจราจรจลาจลบนท้องถนนกทม.กลับกลายเป็นความสงบเย็นท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้ เหมือนคนละโลก
นี่กระมังที่เขาว่า ธรรมะจัดสรร ด้วยผู้เขียนกับน้องหอม(พิมลพรรณ สาโสม)เพื่อนร่วมทางครั้งนี้ ได้รับความกรุณายิ่งจากท่านอาจารย์ วีระพล จนฺสาโร ผู้ซึ่งเป็นคนบ้านเฮาด้วยกัน พบและรู้จักกันเมื่อคราไปทัวร์ธรรมะที่อินเดีย ผู้เขียนกลายเป็นโยมแม่ที่พระอาจารย์เปิดประตูวัดไว้ต้อนรับ และก็รับปากมานานเพิ่งมีโอกาสในวันเพ็ญแห่งมาฆบูชานี้ ท่านอุตส่าห์เอารถไปรับถึงสิงห์บุรี และยังพาแวะไหว้พระพุทธไสยาสน์ที่วัดหลวงพ่อแพ(วัดพิกุลทอง) และอนุสรณ์ผู้กล้าแห่งค่ายบางระจัน วีระชนในช่วงปลายอยุธยา ที่คนไทยล้วนรำลึกถึงอีกด้วย นับเป็นบุญ เป็นความประทับใจหลายทอดทีเดียว
โดยเฉพาะเมื่อก้าวลงจากรถหน้าอาคารที่เป็นที่พักในวันนี้(วันอาทิตย์ ก่อนวันมาฆบูชา๕๖) สัมผัสแรก คือสายลมที่พลิ้วผ่านทุ่งข้าว พัดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกสาละที่บานพริ้มเพราอยู่ข้าง ๆ มาต้อนรับ ผสานกลิ่นดอกสะเดาบานขาวพราวพร่างอยู่ริมทุ่ง นกกระยางฝูงใหญ่บินกันพรึบพับ ส่งเสียงจอแจลงมาจากยอดไม้เหมือนกับเป็นการทักทาย ขณะหมาหลายตัวที่หลวงตาในวัดเลี้ยงไว้วิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกลจนไก่ป่า ไก่แจ้ ตัวเล็ก ๆ สีสวย ๆ ที่หากินอยู่แถวนั้นกระพือปีกบินกระจายกระเจิดกระเจิงกันไปหลายทิศทาง
ที่นี่ คือ วัดเล็ก ๆ ที่ชื่อวัดดอนตะโหนด ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชื่อเดียวกัน ในเขตอำเภอที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากเรื่องราว ความกล้าหาญ การสร้างวีรกรรมของบรรพบุรุษในประวัติศาสตร์ช่วงปลายอยุธยาเมืองหลวงเก่าแห่งสยาม เมื่อกว่าสองศตวรรษที่ผ่านมา นั่นคือ อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
เจ้าอาวาส(พระครูวินัยสมเกียรติ ฐานุตฺตโร)กับอาจารย์วีระพลเป็นพระหนุ่มในวัยเดียวกัน เป็นพระนักพัฒนา สร้างสรรค์กิจกรรมไม่หยุดนิ่ง เพื่อความเจริญของพุทธศาสนาด้วยกัน อาจารย์วีระพลหนุ่มจากศรีสะเกษไม่ได้เรียนจบวิชาการช่างจากสถาบันใด แต่กลับเป็นทั้งช่างและสถาปนิกสร้างสรรค์ ซ่อมเสริม โบสถ์ วิหาร ศาลา ทั้งในวัดนี้และวัดใกล้เคียงอีกมากหลาย สำหรับท่านเจ้าอาวาสยังเป็นนักจัดรายการธรรมะในวิทยุกระจายเสียง อีกด้วย
วัดเล็ก ๆ แห่งนี้เปิดรับพุทธศาสนิกชนจากทุกถิ่นด้วยกิจกรรมธรรมปฏิบัติ โดยเปิดเป็น สำนัก ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสิงห์บุรีแห่งที่ ๑๕ ผู้สนใจติดต่อได้ที่วัดแห่งนี้ หรือ ๐๘๕ ๔๔๙ ๒๔๕๖ และ www.waddontanod.com
ค่ำคืนนี้เรา(ผู้เขียน กับน้องหอม)มีสะเดาดอกขาวลวกเป็นอาหารเย็น ไหว้พระสวดมนตร์แล้ว นอนหลับใหลไปกับเสียงกบเขียด ที่บรรเลงเพลงอยู่ริมทุ่ง ตื่นเช้าด้วยความสดชื่นจัดการหุงข้าวแล้วไปร่วมตักบาตร ก่อนกิจกรรมเวียนเทียนรอบโบสถ์กับชาวดอนตะโหนดทั้งชาวบ้านและชาววัด ก่อนหอบบุญกลับสู่กทม. และหวังใจว่าจะมีโอกาสมาร่วมกิจกรรมธรรมปฏิบัติที่นี่สักครั้งก็ยังดี
.....