ในคมขวาน ๑๘
เสียงแคนแห่งแดนอีสาน
“สาวภูไท”
ลึกลงไปในชนบทแห่งดินแดนในคมขวาน เมื่อคราครั้งที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กน้อยนู้น ทุกยามค่ำคืนก่อนหลับใหล ในความเงียบแห่งราตรีกาล โดยเฉพาะแม่นคืนเดือนหงายที่ลมหนาวเริ่มวี่วอนนั้น อ่อนโยน ยังมีเสียงแห่งสวรรค์ชั้นแถน ดังแว่วมาขับกล่อมให้นอนหลับฝันไปกับเสียงพลิ้วหวานและวังเวงในบางท่องทำนอง
เสียงแคนค่ะ
ทำนองลมพัดพร้าวที่พลิกพลิ้ว ราวกับใบของมะพร้าวสะบัดเป็นริ้ว ๆ ยามต้องสายลมโชยมาสัมผัสสัมพันธ์ปลุกหัวใจให้ระริกไหวไปด้วย
ทำนองแม่ฮ้าง(ร้าง-ม่าย)กล่อมลูกที่อ้อยสร้อย สะอึกสะอื้น กระซิกกระซี้ ดึงอารมณ์ชวนเศร้าแทบฟายน้ำตา
ทำนองนกเต็นเต้นข้ามห้วย เปลี่ยนเป็นอารมณ์สนุกแทบลุกขึ้นมาฟ้อนแทนหลับฝันในทันที ยิ่งมีเสียงซุงตุ้งลุงตุง...คลอเคล้าคลุกเข้าไปด้วย โลกทั้งโลกเป็นเหมือนของข้าแต่ผู้เดียวเชียว
จำได้ว่า ณ หมู่บ้านของเราในยุคนั้นมีหมอแคนอยู่หลายคน เป็นชายหลายวัยตั้งแต่ผู้บ่าวใหญ่ผู้ชำนาญการเป็นหมอแคน หมอ(ดีด)ซุง ถึงผู้บ่าวส่ำน้อยที่เพิ่งพากเพียรเรียนเป่าแคน และ ดีดซุง ในยามค่ำคืนหลังพาแลงไปแล้วหมอเหล่านี้จะจับกลุ่มกันออกเดินเล่น เทค อะวอลค์ เลาะเลียบหมู่บ้าน ตั้งแต่คุ้มบ้านเก่าทางทิศใต้วกวนสู่ตะวันตก ตัดผ่านคุ้มวัดไปจนทะลุคุ้มบ้านใหม่ ผ่านคุ้มทุ่งหนองผักแว่น อ้อมโค้งสู่คุ้มทุ่งหนองในทางทิศตะวันออกสุดของหมู่บ้าน
กลุ่มคนเหล่านี้มิใช่เพียงเดินเลาะเล่นเปล่า ๆ เฉยๆ ยังพกพาเสียงขับกล่อมหลายท่องทำนองดังแว่วล่องลอยในทุกอณูอากาศเหนือหมู่บ้าน
เสียงแคนกล่อมเสียงซุง
ตุ้งลุงตุง อ้อน อ๋อ อ้อน อออออ...
แตรแล่นแตร๋ แล่นแตร๋ แล่นแตรรร...
คุณพนม นพพร ศิลปินแห่งอีสานลูกน้ำมูลผู้ล่วงลับ เคยถ่ายทอดเสียงดนตรีชนิดนี้ออกมาเป็นเสียงเพลงกล่อมอีสานอันโด่งดังในอดีต
แคน เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของชนในวัฒนธรรมลาว จึงมักถูกเรียกเป็นคำคู่กันว่า “แคนลาว”
แคนลาว คุณ กงเดือน เนตตะวง ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งชาติลาวได้ให้ความหมายไว้ว่า “แคนลาว เป็นเครื่องดนตรีหลัก และพื้นเหง้าของคนลาวเฮา นับว่าเป็นมิ่งขวัญชีวิตของการดำรงชีวิตของคนลาวแต่สมัยเกิดมีชาติลาวจนฮอดปัจจุบัน”*
ในตำนานขุนบูฮม(บรม)ก็กล่าวถึงชนกลุ่มที่เป่าแคนไว้ว่า
“กินข้าวเหนียว เคี้ยวหมาก
อยู่เฮือนมีฮ้าน อยู่กว้านมีเสา
เป่าแคน ก็ว่าลาวแล”
และคนอีสานส่วนใหญ่โดยเฉพาะแถบลุ่มน้ำโขงและสาขาก็เป็นไทลาว เสียงจากเครื่องดนตรีชนิดนี้จึงดังแว่ววอนไปถั่วถิ่นแดนดิน เราเรียกคนที่มีความชำนาญการต่าง ๆ ว่า “หมอ” ดังนั้นคนเป่าแคนก็จึงถูกเรียกเป็น หมอแคน แม้ปัจจุบันจะมีสิ่งอื่นมากลบกลืน มาดึงผู้คนให้ห่างไป แต่เสียงแคนยังคงดังแว่วหวานหว่านเสน่ห์สะท้านอารมณ์ทุกครั้งที่ตั้งใจฟัง
เสียงแคนให้แค่ความบันเทิงขับกล่อมเท่านั้นหรือ
มิใช่เลยค่ะ
แต่เดิมแคนใช้เป่าคู่กับการขับลำอ้อนวอน อ่อนน้อมต่อเทพไทท้าวแถนแห่งแดนฟ้า ในพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกิดจากความทุกข์กังวลของผู้คน เช่น พิธีเหยา ในแถบลุ่มหนองหาน พิธีลงไถ้ไหว้แถนในแถบลุ่มน้ำมูล หมอลำ คือผู้ขับร้องเปล่งเสียงในขณะ หมอแคนคือผู้เสกเป่าทำนองเคล้าคลอกันไป ในบางท้องถิ่นเรียกหมอแคนว่า หมอม้า เพราะเป็นผู้พาหมอลำขับลำเดินดงลงทุ่งหรือขึ้นฟ้าหาแถน ส่วนผู้ขับลำก็จะถูกเรียกว่า
หมอแคนเป็นผู้เสกสรรเสียงดนตรีพลิกพลิ้วเป็นริ้วทำนองตามลายแคน ขณะหมอลำเป็นผู้ขับขานเสียงร้องเป็นถ้อยคำพร่ำพลิ้วตามทำนองล่องลาย ใส่ลูกคอสั่นพลิ้วหวิวไหวไปกับลายแคน และเสกใส่เนื้อหา พัฒนาสู่การเล่าเรื่องราว การใส่กาพย์กลอน(ลำ)ที่มีเนื้อหาทันสมัย น่าสนใจให้ความบันเทิงแก่ผู้ฟัง ช่วงต่อ ๆ มาพัฒนาเป็นหมอลำคู่ หมอลำหมู่ สู่วงดนตรีลูกทุ่งหมอลำ หมอลำซิ่ง หมอลำประยุกต์ที่โด่งดังคับฟ้าอีสานมากมายหลายรุ่นเป็นมูนมังอีสานสืบทอดกันต่อ ๆ มา จนหมอลำได้รับเกียรติ์เชิดชูให้เป็นศิลปินแห่งชาติไปก็หลายคน เช่น คุณตาทองมาก จันทะลือ(หมอลำถูทา) คุณพ่อเคน ดาเหลา(หมอลำเคนฮุด) คุณแม่ฉวีวรรณ พันธุ และคนล่าสุดคุณป้าบานเย็น รากแก่น เป็นต้น
ช่วงประมาณหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา บอกไปก็ไม่น่าเชื่อว่า ในสังคมโดยเฉพาะชนบทอีสานที่ยังยึดถือเรื่องฤกษ์งามยามดีกันอยู่นั้น แต่มีหลายแห่ง หลายเจ้าภาพจะจัดงานบวช งานบุญ แทนจะหาวันดีตามตำรา กลับพอใจจะรอวันว่าง ตามคิวอันยาวเหยียดของวงหมอลำแม่นกน้อย(นกน้อย อุไรพร) บางทีรอกันเป็นเดือนเป็นปีเลยก็ยอมละเพราะญาติโกโหติกาผู้จะมาร่วมงานล้วนเป็นแฟนของแม่นกน้อยและคณะ
ก่อนมาถึงยุคหมอลำประยุกต์ที่ผันแปรตามกระแสสังคมนั้นนอกจากการขับลำคลอเสียงดนตรีจากแคนในพิธีกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว หมอลำหมอการได้พัฒนาสู่การให้ความบันเทิงซึ่งพอจะจำแนกได้เป็นประเภทต่าง ๆ คือ หมอคู่ หมอลำหมู่
หมอลำคู่มีเพียงสองคนชายหญิงพัฒนามาจากหมอลำเล่าเรื่อง(หมอลำพื้น)เป็นรากเหง้าที่สุดของการแสดงหมอลำหมอแคน ซึ่งเดิมทั้งหมอลำและหมอแคนจะนั่งอยู่ในวงล้อมของผู้ฟัง มักนำเอาเรื่องราวในตำนาน ในนิทานพื้นบ้าน นิทานชาดกตลอดข่าวสารบ้านเมืองมาขับเป็นกลอนลำให้ไพเราะน่าฟัง หมอลำจึงเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในบริบททางสังคมแห่งยุคสมัย ทั้งประวัติศาสตร์ ศาสนา ความเป็นไปในสังคม มีไหวพริบปฏิภาณ สามารถใช้ภาษา สุภาษิต คำพังเพยอย่างคล่องแคล่ว โต้ตอบกันระหว่างชายหญิงอย่างออกรส
เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นจึงมีการจัดเวทียกพื้นสูง กลอนที่นำมาขับก็เป็นระบบมากขึ้น มีช่วงไหว้ครู บูชาครู ช่วงประกาศศรัทธาของเจ้าภาพ ช่วงกลอนลำเกี้ยวเย้าแหย่ระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เรียกว่ากลอนเกี้ยว เนื่องจากการเกี้ยวพาราสี ช่วงลำเรื่องทั่วไป มักนำประเด็นที่อยู่ในความสนของผู้คนมาเป็นแก่นในการต่อกลอนหากเป็นเรื่องชมนกชมป่าชมธรรมชาติก็มักใช้กลอนสั้น ทำนองสนุก เรียกว่าลำทางสั้น แลหากเป็นเรื่องเศร้า ๆ ก็มักใช้กลอนยาวทำนองเนิบช้า เรียกว่าลำล่องหรือลำทางยาง ช่วงสุดท้ายซึ่งมักเป็นช่วงดึก ๆ หรือใกล้สว่างเป็นช่วงลำลา มักใช้กลอนยาวทำนองเนิบช้าใช้ลูกคอเอื้อนพลิ้วสะกดคนฟังให้อาลัยก่อนจบและจาก
หมอลำหมู่ เป็นวิวัฒนาการขั้นสำคัญของการขับลำ จากการแสดงเพียงสองคนของหมอลำคู่กลายมาเป็นมีผู้ช่วยทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง กลายมาเป็นคณะใหญ่มีตัวละครหลากหลายให้ครบตามบทบาทในเรื่องที่นำมาแสดง เพิ่มรสชาติความสนุกเพลิดเพลินผู้ชมได้รับมากขึ้น มีกลอนลำเพลินเดินดง กลอนลำเต้ย และเพลงลูกทุ่งกลายเป็นหมอลำซิ่งมีหางเครื่อง มีฉากและเวทีอลังการอย่างในปัจจุบัน
หมอลำคู่แบบเดิมจึงหาดูได้ไม่ง่ายแล้ว ต้องขอบคุณคณะผู้จัดงานจุลกฐิน๒๕๕๗แห่งวัดไชยมงคลอุบลราชธานีที่จัดให้มีหมอลำคู่มาแสดงให้ได้รำลึกถึงครั้งหนึ่งเราเคยนั่งแหงนคอเบิ่งหมอลำคู่อย่างออกรสตลอดทั้งคืน
คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ขอบคุณยายผู้มีน้ำใจให้ข้อมูลการเข็นฝ้าย ขอบคุณอาจารย์ผู้นำการละเล่นโบราณที่ชื่อ “ขาโถกเถก” มาแสดงรวมถึงอุปกรณ์การเดินแบบขาโถกเถกมาให้ผู้สนใจลองพลังขาของตนเองด้วยนี่คือมูนมังมั่งค่าแห่งดินแดนในคมขวานค่ะ
๐๐๐