พม่าไม่ไปไม่รู้
โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ
ตอน8. กัมโพชาธานี ร่องรอย บารมี แห่งบาเยงนอง
ดวงตะวันยามบ่ายคล้อยวันนั้น ส่องแสงผ่านม่านเมฆออกมาได้เรือง ๆ เมื่อฝนหยุดหายใจชั่วครู่ ดูดั่งแสงจากโคมไฟที่ทำจากกระดาษสีสวย ส่องสะท้อนสีเหลืองทองของรูปปั้นหงส์คู่สัญลักษณ์ประจำเมืองหงสาวดีที่ยืนอยู่ชั่วนิรันดร์นั้นให้ดูวับวาวราวกับมีชีวิต และกำลังขยับปีกจะโผบินหลังจากทนตากฝนมาเนิ่นนาน
หงสาวดีก็คล้ายดั่งนั้น ดั่งเคยหลับฝันในม่านฝนและเมฆมัวมาเป็นระยะ ครั้นดวงตะวันขับม่านฝนให้ผันผ่าน ม่านเมฆแลหมอกมัวก็ผ่านพ้น แสงเรืองรองก็จะฉายส่องให้ฟื้นตื่นจากอาการหลับใหล
กี่ครั้งกี่คราแล้วหนอ กี่ครั้งที่ผ่านมา เมืองท่าอันรุ่งเรืองในอดีตแห่งนี้ที่เคยหลับใหลแล้วฟื้นตื่น ล้างหน้า ขยี้ตา แล้วยิ้มรับแสงตะวันที่ฉายกราดความเรืองรองอันไม่คงทนเพราะดวงตะวันมีภาระหน้าที่ต้องต้องกราดแสงให้ทั่วจักรวาล หมุนเวียน เปลี่ยนผัน ในวันเวลาที่หมุนเปลี่ยนเวียนผัน
หงสาวดี หรือพะโค เป็นราชธานีแห่งราชอาณาจักรมอญ
บรรจุไข่ในโนเสาร์ และกุ้งแม่น้ำอิรวดีลงไปตุนไว้ในกระเพาะกันแล้ว ก็จากลา
หงสาวดีจะไปพระธาตุอินทร์แขวนซึ่งอยู่ห่างออกไปในภูหนาป่าดงทางบูรพาทิศซึ่งใกล้เขตแคว้นแดนไทยทางด่านแม่สอด
“เราจะแวะชมพระราชวัง บุเรงนองกันก่อนสักครึ่งชั่วโมง”
คุณติ๊กประกาศด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแย้มยิ้มตามสไตล์ของเธอ แล้วสั่งรถให้เลี้ยวออกไปนอกเมืองยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เขียวสะพรั่งและแซมให้สะพราวด้วยดอกอ้อที่โอนไสวพลิ้วในสายลม
พลันที่รถจอดนั้นสายตาเราก็ไปหยุดอยู่ที่อาคารสถาปัตยกรรมแบบพม่าที่อร่ามเรือง ผุดพรายขึ้นมาท่ามกลางสีเขียวขจีราวกับเนรมิต
ฝนเทลงมาอีกราวกับจะเบรกเราให้สงบเสงี่ยม ค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดสู่ท้องพระโรงใหญ่โตโอ่โถงที่บางส่วนยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยด้วยซ้ำ
ณ ที่แห่งนี้ คือ กัมโพชธานี (
กรุงหงสาวดี หรือ หรือ พะโค ตามตำนานพงศาวดารพม่าว่าสร้างขึ้นพุทธศักราช ๑๑๑๖ โดยเหตุที่กาลเวลาก่อนนี้ทะเลอ่าวมะตะบันอยู่ลึกเข้ามามากแต่ดินตะกอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดีทับถมพอกพูนให้แผ่นดินงอกออกไปเรื่อย ๆ แม้
ปัจจุบันก็ยังงอกอยู่ ดังนั้นเมืองพะโคแรกสร้างจึงเป็นเมืองท่า เจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าขายจากเรือสำเภาที่กางใบเดินทางมาในฤดูมรสมทั้งจากตะวันตกและตะวันออก
ก่อนสร้างกรุงหงสาวดีนั้น ราชอาณาจักรมอญมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงสะเทิม หรือสุธรรมวดี มีตำนานปรัมปราของชาวมอญเล่าสืบมาว่า ครั้งหนึ่ง มีเจ้าชายจากอินเดียพระองค์หนึ่งพร้อมด้วยบริวารอพยพมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่สะเทิม แล้วได้กับธิดาพญานาคจนมีโอรสสององค์ คือ ท้าวสามล กับท้าววิมล แต่ทางราชสำนักรับไม่ได้ที่พระกุมารเกิดมาจากมารดาที่เป็นนางนาคจึงเนรเทศออกจากเมืองไป พระมารดาได้พาโอรสไปอาศัยอยู่กับพระฤาษี พระฤาษีจึงสร้างเมืองให้อยู่ และบริเวณที่สร้างเมืองนั้นมีหงส์สองตัวกำลังทำรังอยู่จึงให้ชื่อเมืองว่า “หงสาวดี”
เมืองสะเทิมยังคงเป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรมอญทางตอนใต้ของพม่าสืบมาจนกระทั่ง ที่อาณาจักรพุกามของพม่าอยู่ในรัชกาลของพระเจ้าอนุรุท(อโนรธามังฉ่อ) ประมาณช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖ พระเจ้าอนุรุททรงศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบมอญมาก ต้องการให้ประชาชนของพระองค์หันมานับถือด้วย จึงทรงแต่งทูตมาทูลขอพระไตรปิฎกจากพระเจ้ามนูหะแห่งสะเทิม แต่ไม่ได้รับการสนองตอบ พระองค์จึงยกกองทัพใหญ่เต็มไปด้วยแสนยานุภาพมาล้อมเมืองไว้จนในที่สุดก็เข้าตีสะเทิมแตก กวาดต้อนทรัพย์สิน ผู้คนในราชวงศ์ ตลอดพระสงฆ์องค์เจ้าพร้อมอัญเชิญพระไตรปิฎกแห่แหนไปพุกามประเทศ หงสาวดีพลอยต้องขึ้นกับพุกามไปด้วย ราวสองร้อยปีต่อมาพุกามเริ่มเสื่อมอำนาจลงด้วยภัยจากภายนอก และภายในเอง เมืองพะโคค่อย ๆ รุ่งเรืองเติบโตเข้มแข็งขึ้นเช่นกันกับเมืองเมาะตะมะ จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าฟ้ารั่ว(มะกะโท)ทรงได้รับความสนับสนุนจากไทยยึดเอาเมาะตะมะจากเจ้าเมืองชื่อ อะลิมามาง พระเจ้าฟ้ารั่วทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งรวบรวมเมืองมอญทั้งหลายแล้วตั้งพะโค หรือหงสาวดีขึ้นเป็นเมืองหลวง
ฝ่ายพม่าเมื่อพุกามเสื่อม อังวะก็รุ่งเรืองขึ้นมาแทน กษัตริย์พม่าแทบทุกพระองค์ยังคงใฝ่ฝันจะรวมหัวเมืองมอญฝ่ายใต้เข้าเป็นแผ่นดินเดียวกัน ในสมัยพระเจ้ามังฆ้องแห่งอังวะ ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าราชาธิฤทธิ์(พระยาน้อย หรือ ราชาธิราช)แห่งหงสาวดีเป็นยุคที่หงสาวดีกับอังวะกลายเป็นเมืองศัตรูคู่สงครามประลองฝีมือของกษัตริย์ทั้งสองที่ต่างฝ่ายต่างมีพระปรีชา บารมี ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ บางต่อสู้ห้ำหั่น บางครั้งสัญญาเป็นมิตรกันรักษาความสงบ แลกเปลี่ยนเครื่องบรรณาการ ต่างส่งพระราชธิดาไปให้อีกฝ่าย บางครั้งผู้ชนะจับตัวพระญาติ แม่ทัพ นายกองของอีกฝ่ายไปเลี้ยงดูไว้ในกองทัพตนยกตำแหน่งสูง หรือแม้แต่พระราชธิดาให้เป็นสิ่งตอบแทน อีกฝ่ายก็ติดตามแก้แค้นทวงเอาคืน จนเกิดความผูกพัน มีความเชื่อ และเสียงเล่าลือว่า แม้แต่ราชบุตรของหงสาวดีที่ถูกพระบิดาสั่งประหารยังกลับชาติไปเกิดเป็นราชบุตรแห่งอังวะเพื่อกลับมาแก้แค้น(กรณีเจ้าลาวแก่นท้าวโอรสพระเจ้าราชาธิราช กับ เจ้าชายมังรายกยอชะวาโอรสพระเจ้ามังฆ้องผู้เก่งกาจเป็นขวัญใจของทั้งมอญและพม่า)
ครั้นต่อมาพม่าย้ายศูนย์กลางราชอาณาจักรไปอยู่ตองอู กษัตริย์พม่ายังคงต้องการรวมเอาหัวเมืองทางใต้ทางออกสู่ทะเล จนกระทั่งถึงรัชกาลพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้กษัตริย์นักรบและมีขุนศึกคู่บัลลังก์ที่เก่งกาจอย่างบุเรงนองจึงทรงผนวกเอาหงสาวดีและเมาะตะมะที่กำลังยุ่ง ๆ ได้ไม่ยากนัก ครั้นบุเรงขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลต่อมาทรงแผ่ขยายราชอาณาจักรพม่าออกไปได้กว้างไกลรอบทิศเป็นประวัติการณ์ จนได้รับการขนานนามว่า”ผู้ชนะสิบทิศ” ทรงมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยมีมา
ครั้นว่างจากศึกกลับมาคราหนึ่ง พระเจ้าบุเรงนองทรงเห็นว่ากรุงหงสาวดีทรุดโทรมไปมากเนื่องจากการกบฏที่ผ่าน ๆ มามีการเผาบ้านเผาเมืองด้วยจึงดำริให้มีการสร้างเมืองใหม่มีพระราชวังใหญ่โตสมพระเกียรติ มีที่พำนักของราชวงศ์ต่าง ๆ ที่พระองค์ไปรบชนะกวาดต้อนมาไว้เป็นเชลย ซึ่งมีทั้งผู้ลากมากดี ศิลปิน ช่างฝีมือนักปราชญ์ราชบัณฑิต พระราชวังใหม่นี้จึงเป็นผลงานของช่างฝีมือจากหลายราชสำนักสวยงามโอ่อ่าจนฝรั่งต่างชาติที่เดินทางมาเห็นได้บันทึกไว้ว่าแม้แต่หลังคาก็ทำด้วยทองคำ ส่วนท้องพระโรงนั้นเสาทุกต้นให้จารึกชื่อเมืองที่พระองค์รบชนะมาได้ และประตูทั้งสิบสองประตูก็เป็นชื่อเมืองสำคัญ ๆ เช่น ประตูโยเดีย ประตูเชียงใหม่ เป็นต้น
พระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๐๙๔ เริ่มสร้างพระราชวังใหม่ในปีที่ ๑๕ ของรัชกาล คือ ปี ๒๑๐๙ ทรงตั้งชื่อว่า “กัมโพชาธานี” (
หม่อง ทิน อ่อง นักเขียนประวัติศาสตร์ชาวพม่า เขียนไว้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์พม่าของเขาว่า
“กองทัพทั้งสอง(ตองอูกับยะไข่)เดินเข้าเมืองโดยสะดวกและปรึกษาแบ่งทรัพย์สิน เช่น เงิน ทอง ของมีค่าต่าง ๆ เท่า ๆ กัน ส่วนพระพุทธรูปทององค์ใหญ่ที่พระเจ้าบุเรงนองยึดมาได้จากอยุธยาก็ตกเป็นของยะไข่ ฝ่ายพระพุทธรูปที่พบในวังเป็นของตองอู นอกจากนั้นพระเจ้ายะไข่ยังนำพระธิดาของพระเจ้านันทบุเรงไป และชาวตองอูมีหน้าที่อารักขากษัตริย์ผู้เพลี่ยงพล้ำ(พระเจ้านันทบุเรง) ชาวยะไข่ได้ช้างเผือกไปเป็นสมบัติ และยอมให้กองทัพตองอูเปิดกรุทรัพย์สินในเจดีย์ที่พระเจ้าบุเรงนองสร้างขึ้นเพื่อนำเอาพระเขี้ยวแก้ว และบาตรที่นำมาจากลังกาไป....กองทัพยะไข่เข้ารื้อค้นพระราชวัง และทรัพย์สมบัติในบ้านเมือง และเผาเมืองเสียด้วย...” (หน้า ๑๓๕)
....
มาถึงพ.ศ.นี้หลังจากพม่าผ่านร้อนผ่านหนาวและทิ้งให้กัมโพชาธานีกลายเป็นทุ่งหญ้าเวิ้งว้างรกร้างมานานก็ได้เวลารื้อฟื้นสร้างขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก พระบารมีของพระเจ้าบุเรงนอง ยังคงแผ่ผายให้ลูกหลานชาวพม่าได้อาศัยร่มใบบุญผู้คนจึงหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย แม้ราชธานีแห่งนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ด้วยซ้ำ และแม้ในวันที่ดวงตะวันกับเมฆฝนจะ
ผลัดเปลี่ยนกันมาเยือนแหล่งหล้า เหนือหงสาวดี อย่างวันที่คุณติ๊กพาเราเข้าชมอย่างทุลักทุเลนี้ก็ยังมีอีกหลายคณะที่ตาม ๆ กันเข้ามาชื่นชม