กิ่งคำปายกับยายทวด โดยเอื้อยนาง
ตอน๑๓.ดอกไม้ที่ผลิบาน
“ประเพณีก็คือประเพณีสิ เป็นสาวเป็นนางแต่งตัวเป็นชายได้อย่างไร ผ่าเหล่าผ่ากอ พ่อของเจ้าก็แหกคอกลงเรือสำเภาไปกับฝรั่งมังค่าเป็นชาวแกวชาวจามไม่กลับมาคนหนึ่งแล้ว นี่เจ้ายังจะทำตัวเหลวไหลไม่รู้จักจารีตฮีตคอง ครองตัวให้เสงี่ยมงามอยู่ในบ้านในเรือน หัดทอหูกผูกลาย ให้สมเป็นลูกผู้หญิงของคนมีเชื้อมีสายอีก”
เสียงดุด่าว่ากล่าวเท้าความยืดด้วยอารมณ์เดือดดาลดังสนั่นก้องหอคำ คฤหาสน์หลังงามของเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ผู้กำลังโมโหโกรธาดุด่าหลานสาว พลางเดินไปเดินมารอบ ๆ ร่างที่นั่งก้มหน้านิ่งไม่ไหวติงราวกับไร้ชีวิตไปแล้วกระนั้น
เหล่าสาว ๆ และเด็ก ๆ หลายคนที่เมียง ๆ มอง ๆ ด้วยความสนใจอยู่หลังม่านแพรค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เมื่อเสียงหวายในมือของเจ้าปู่ ผู้กำลังดุด่าเดือดดาลอยู่นั้นแหวกอากาศดังเฟ๊ยวฟ๊าว
“บอกเจ้าปู่สิ คำปลิวว่าเจ้าเพียงไปกับพวกใบบอก ผู้ส่งข่าวชาวเมืองโขงเท่านั้น”
เสียงอ้อนวอนอ่อนโยนของหญิงชราผู้เป็นเจ้าย่าที่นั่งอยู่บนตั่งกลางห้องโถงดังขึ้น นางเพียรบอกแกมขอร้องหลานสาวผู้ปิดปากเงียบมาหลายครั้ง ด้วยอยากให้เรื่องหนักกลายเป็นเบา อยากให้อารมณ์ขุ่นมัวของของผู้เป็นเจ้าปู่ผ่อนคลายลง ขอเพียงให้หลานสาวรู้จักเอื้อนเอ่ยวาจา แก้ต่างให้ตัวเองบ้าง อารมณ์ร้อนของเจ้าปู่ก็คงจางหาย
แต่สาวน้อยในเครื่องแต่งกายของชาย กางเกงครึ่งแข้งสีดำ เสื้อผ้าฝ่ายเนื้อหนาสีครามตัวโคร่ง มัดรอบเอวด้วยผ้าขาวม้าไหมลายสี่เหลี่ยมตาหมากลุก แล้วโพกผมด้วยผ้าไหมแพรวาลายขิด ยังคงปิดปากเงียบ ใบหน้าผ่องผุดผาดที่แต้มด้วยดินโคลนจนดูเลอะเทอะ มอมแมมนั้นเรียบเฉย ไม่เอ่ยขอโทษหรือแก้ตัวใด ๆ มีแต่สายตาคมวาวกล้าแกร่งเกินตัวคู่นั้นเท่านั้นที่ฉายแวววาววับ ยั่วโมโหเจ้าปู่จนต้องลงหวายเสียงดังขวับลงกลางหลัง
ร่างน้อยนั้นสะดุ้งขึ้นทีหนึ่งแล้วนิ่งเฉยเป็นหินผา ไม่ว่าเรียวหวายจะฟาดลงมากี่ครั้ง ต่อกี่ครั้งจะทำให้ไหวติงก็หาไม่
“พอเถอะเจ้าพี่”
ที่สุดผู้เป็นย่าก็ทนไม่ไหว โผเข้ากอดหลานสาวไว้ แส้หวายจึงพลั้งเพราะคนฟาดยั้งมือไม่ทันโคนแขนอวบขาวผ่องที่โอบกอดหลานสาวจนปรากฏรอยพาดแดงเป็นทางขึ้นมาทันที
“มันปากแข็ง ใจแข็งเหมือนพ่อมันไม่มีผิด ฮึ...เป็นถึงเจ้าราชวงศ์ เพียงมันโกรธพ่อผู้เป็นเจ้าเมืองนิดหน่อยมันก็ลงเรือไปไม่คืนกลับ”
โกรธหลานสาว แต่เท้าความไปถึงลูกชาย ผู้ที่ผู้เป็นหลานเองก็ไม่เคยเห็นหน้า
แต่เห็นรอยหวายพาดยาวเป็นคูแดงขึ้นบนแขนของเจ้านางผู้เป็นย่า ทำให้ความโมโหโกรธาของชายชรากลายเป็นคั่งแค้นแน่นอกพูดไม่ออก แม้ไม่ลดความโกรธ แต่ก็ยอมทิ้งหวายในมือ เดินตึงตังออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่หญิงสองวัยที่กอดกันกลมสะอื้นไห้
“โถหลานย่า เจ้าเจ็บมากไหม เจ้าทำไมไม่พูด ไม่บอกปู่...”
กอดหลานไว้พลางดึงแพรห่มสไบมาใช้ซับน้ำตาให้
“แต่ช่างเถอะนะ...ตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” เปิดเสื้อด้านหลังหลานสาวดูรอยแผลแล้วสะอื้นหนัก คูแดง ๆ หลายสายมีเลือดซึม จึงตะโกนเรียกหาข้าไทให้มาช่วยกัน
“นางคำมี นางสีดาอยู่ไหน หาขมิ้นว่านไฟ ไพรฝนน้ำมันงา เอามาทาหลังให้
หลานข้าเร็ว ๆ เข้า”
เจ้าคำปลิวก้มหน้านิ่ง กัดริมฝีปากไม่ยอมให้เสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา ขณะข้าไทช่วยกันปฐมพยาบาล รอยหวายที่สร้างความเจ็บแปลบ ๆ ค่อยผ่อนคลายลง เมื่อยาสมุนไพรถูกไล้ทาแผ่วเบา พร้อมลมจากปากของย่าเป่าลงแผ่วผิว แผ่ความเย็นลงทั่วแผ่นหลังที่ลายพร้อยด้วยรอยหวาย
เจ้าย่า จากไป นั่นแล้ว เด็กสาวสองคนวัยไล่เลี่ยกับคำปลิวผู้แอบดูอย่างหวาดหวั่นอยู่แต่แรก จึงกล้าเข้ามาสมทบ
“เจ้าปู่ใจร้าย”
คำพัน ลูกสาวของเจ้าป้าผู้เป็นพี่นางของเจ้าราชวงศ์ ซึ่งเติบใหญ่มาด้วยกันกับคำปลิว คุกเข่าลงนั่งโอบกอดน้องสาวผู้เป็นกำพร้าไว้ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความสงสาร
“พี่จะพาน้องคำปลิวหนีไปเอง พี่ตัดสินใจแล้วจะไปอยู่เมืองอุบลดงอู่ผึ้ง จะพาคำปลิวไปด้วย”
สาวเจ้าผู้มีศักดิ์เป็นพี่ปลอบโยน ย่าหันมามองหลานสาวคนโต ถามว่า “เจ้าคิดหรือว่าเจ้าปู่จะยอม”
“แต่ถ้าข้ายอมแต่งงานกับอัญญาไท นายร้อยตรีเผ่าตามที่เจ้าปู่ และเจ้าลุงทางเมืองอุบลต้องการ ขี้คร้านเจ้าปู่จะจัดกองเกวียนช้างม้าส่งข้าไป”
อัญญาไทที่คำพันเอ่ยถึงก็คือข้าราชการจากกรุงเทพที่ติดตามกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการต่างพระเนตรพระเนตรพระกรรณในหลวงรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงสยาม มาพำนักในอุบลราชธานีศรีวนาลัยดงอู่ผึ้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๖
ตั้งแต่คำปลิวยังเป็นเด็กหญิง อายุห้าหกขวบ พระองค์ท่านเสด็จมาพร้อมด้วยเหล่าทหาร ราชบริพารจำนวนมาก เพื่อแผ่ขยายอำนาจของราชสำนักครอบคลุมบ้านเมืองฝ่ายลาว ครั้นมาถึงก็ทรงจัดการแต่งงานกับเจ้านางเจียงคำ ญาติฝ่ายแม่ของเจ้าปู่ที่อยู่เมืองอุบลดงอู่ผึ้ง ถึงวันนี้ที่คำปลิวเติบใหญ่ใกล้วัยสาว เจ้านางเจียงคำก็มีโอรสกับพระองค์ท่านข้าหลวงใหญ่สององค์แล้ว และข้าราชการทหารพลเรือน ที่ติดตามมาหลายคนได้หญิงลาวชาวอุบลเป็นภรรยากันหลายคน เป็นการกระชับสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นเป็นนโยบายแสนฉลาดของทั้งสองฝ่ายไทยและลาว
เพื่อประสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น เพื่อความมั่นคงอยู่รอดของตนเองและบ้านเมือง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายล้วนยินดีที่หนุ่มไทยกับสาวลาวผูกสมัครรักใคร่กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน พ่อแม่ที่เป็นข้าราชการ เป็นเจ้าในระบบเจ้าเมืองเก่าที่นับวันจะเสื่อมถอย เพราะอำนาจถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว หลายคนปรารถนาอาศัยบารมีเจ้าใหญ่อัญญาไท ในการฟื้นฟูฐานะของตนเอง พยายามหาโอกาสให้ลูกสาวได้แต่งงานกับหนุ่มชาวไท แม้บางครั้งจะไม่ใช่ความต้องการของตัวลูกสาวเอง แต่ประเพณีที่ยึดถือกันมา ว่าลูกที่ดีต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่ จึงไม่มีสาวใดปฏิเสธได้
แม่น้ำโขงเคยไหลผ่ากลางอาณาจักรลาวล้านช้างอันยิ่งใหญ่มาเนิ่นนาน กลาย
เป็นเส้นกั้นกันคนสองฝั่งออกจากกัน ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงกลายเป็นของฝรั่งเศสฝั่งขวาเป็นของราชอาณาจักรสยาม ศึกเหนือเสือใต้ทำให้ลาวระส่ำระสาย ไหวหวั่นว่าสองฝ่ายจะห้ำหันกัน ทำให้ระวาดระแวงทั่วทุกหัวระแหง
จำปาศักดิ์เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลลาวกาวรวมเข้ากับอุบลราชธานี อำนาจของเจ้าเมืองเก่าถูกลดลง ข้าราชการใหญ่น้อยล้วนมองหาที่พึ่งพา ลูกสาวคือเส้นทางสายหนึ่งที่ปูไปสู่ความอยู่รอดมั่นคง
“พี่นางคำพัน ข้าขอบใจหลาย แต่ขออย่าเสียสละเพื่อข้าขนาดนั้นเลย จะไปแต่งงานกับคนไม่รู้จักได้อย่างไร”
คำปลิวน้องสาว ยังเป็นสาวน้อยแต่หัวใจนั้นยิ่งใหญ่ จนถูกเฆี่ยนหลังลายเอ่ยคัดค้านเสียงเบา
“ก็....” ผู้เป็นพี่สาวหลับตาลง กลืนก้อนอะไรบางอย่างที่คล้ายมันจุกแน่นลงในลำคอ อย่างอยากเย็น
“ผู้หญิงเรามีหน้าที่ทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ และบ้านเมืองไม่ใช่หรือ อย่างแม่ของเจ้าตอนมาแต่งกับเจ้าน้าราชวงศ์น่ะ เคยเห็นหน้ากันที่ไหนล่ะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าน้าเจรียงทองแม่ของเจ้าร้องไห้มาตลอดทางในกองเกวียนตั้งแต่เมืองอุบลดงอู่ผึ้งจนถึงนครจำปาศักดิ์”
“แต่ว่าพ่อกับแม่ของข้าก็เป็นเชื้อสายลายล่องเดียวกัน อุบลกับจำปาศักดิ์ล้วนมาจากไทเวียงเหมือนกัน”
“แล้วที่เจ้าอาเจียงคำในเมืองอุบลแต่งกับเสด็จในกรมข้าหลวงใหญ่จากสยามที่อายุคราวพ่อนั้นเล่าหรือแม้แต่เจ้าพี่ปางทิพย์ของเราที่ไปแต่งกับองค์หมิ่นที่เมืองแกวนั่นอีกก็ไม่ใช่เชื้อสายลายล่อง”
“เจ้าคิดถูกแล้วหละคำพันเอย”ผู้เป็นย่าเอ่ยกับหลานสาวคนโตด้วยเสียงเครือ
“แต่ข้าไม่ยอมไปจากเจ้าย่าเจ้าปู่หรอก” เด็กสาวอีกคนที่เพิ่งคลานเข้ามาสมทบเอ่ยขึ้น เจ้าย่ามองแล้วได้แต่รำพึงว่า
“เจ้ายังเด็กกันนักลูกเอย”
ประโยคนั้นคงเอื้อนเอ่ยกับหลานสาวทั้งสามคนมากกว่าจะเจาะจงผู้ใดโดยเฉพาะ
ลูกเอย..เจ้ายังเด็กนักหนา เหมือนพวงผกา เพิ่งแตกช่อจ่อจีผลิตูม
เจ้ายังเด็กนักหนา ในสายตาของย่าเจ้ายังเป็นเด็กทารกหญิง
ยังวิ่งเล่นซ่อนย่าอยู่เมื่อวันวาน
ดอกไม้ยังไม่เบ่งบาน แต่กลับมีเสียงเรียกขานของเหล่าแมลง
รู้ทั้งรู้แต่ผู้เป็นย่าก็ยินดี เด็ดช่อที่เพิ่งจ่อจีผลิตูมใส่พานถวายให้เหล่าแมลง ด้วยคำพูดอันอ่อนโยนเต็มไปด้วยความห่วงใย หวังดี
“ไปอยู่เมืองอุบลดงอู่ผึ้งก็ดีเหมือนกันนะคำปลิว....”
เจ้าย่าหลบสายตาคมกล้าที่มีประกายร้าวรานประสานตอบ แต่ปากยังคงเอื้อนเอ่ยวาจา
“ปีนี้เจ้าก็เติบใหญ่จะเป็นสาวแล้ว เป็นสาวสวยต้องตาชายเสียด้วยซี เจ้าลุงเจ้าป้าทางนั้นคงหาคู่ที่เหมาะสมให้เจ้าได้เป็นฝั่งเป็นฝา เผลอ ๆ อาจได้ติดอัญญาไทเข้าไปอยู่บางกอกกรุงสยาม เพราะตอนนี้เมืองลาวเราเดือดร้อนเข็ญใจนักลูกเอย เจ้าก็รู้ที่เจ้าปู่อารมณ์พลุ่งพล่านพาลโกรธอยู่บ่อย ๆ นั้นเหตุเพราะความหวาดไหวเกาะกุมอยู่ภายในทุกวี่วันนั่นแล้ว ลูกเอย”
********************************************************