พม่าไม่ไปไม่รู้ ๙
ลดเลี้ยวสู่โค้งฟ้า ไหว้พระธาตุอินทร์แขวน
โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ
พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ๊ก์ทิโจ่ (Kyaihtiyo) ในวัดไจ๊ก์ทิโจ่ เป็น ๑ ใน ๕
มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในประเทศพม่าที่พุทธศาสนิกชนทั้งในและนอกประเทศนิยมไปสักการบูชา อันได้แก่
๑มหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง กรุงร่างกุ้ง
๒มหาเจดีย์ชเวสิกอง เมืองพุกาม
๓มหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอว์ (พระธาตุมุเตา) เมืองหงสาวดี
๔พระมหามัยมุนี พระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย เมืองมัณฑะเลย์
๕พระธาตุอินทร์แขวน เมืองไจ๊ก์โถ่ เขตรัฐมอญ
ไจ๊ก์ทิโจ่ ในภาษามอญหมายถึง ก้อนศิลารูปศีรษะ ตำนานว่าเป็นศีรษะพระฤาษีผู้เก็บพระเกศาธาตุ ๒ เส้นไว้ในมวยผม ครั้นใกล้จะสิ้นอายุขัยก็อยากได้ก้อนศิลาลักษณะคล้ายรูปศีรษะตนเอง ไว้เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ และสมปราถนาตามความตั้งใจ
ก้อนศิลาพิเศษนี้มีตำนานเล่าขานสืบมา วันหลังคงได้เล่าอีกทีนะคะ เอาเป็นเข้าใจกันว่า นั่นคือ พระธาตุอินทร์แขวนที่ตั้งอยู่ในวัดบนยอดเขา Paung Laung สูงถึง ๓,๖๑๕ ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
ตัวพระธาตุเป็นศิลาก้อนหนึ่งต่อส่วนยอดขึ้นเป็นยอดเจดีย์ ปิดทองเหลืองอร่าม สูง ๕.๕ เมตร ตั้งหมิ่นเหม่ท้าทายแรงดึงดูดของโลกบนหน้าผาสูงชัน ตั้งท้าทายอยู่อย่างนั้นแม้เกิดแผ่นดินไหวในพม่าหลายครั้ง ก็ยังไม่เป็นไรช่างน่าอัศจรรย์ จึงท้าทายศรัทธาของผู้คนให้ดั้นด้นไปสักการะให้ถึงให้ได้
เส้นทางจากหงสาวดีสู่พระธาตุอินทร์แขวนเป็นระยะทาง ๑๘๐ กิโลเมตร เราจากลาพระราชวังแห่งอดีตกษัตริย์นักรบผู้ชนะทั้งสิบทิศ ออกจากหงสาวดีมุ่งหน้าสู่ตะวันออก ผ่านท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่ปูลาดด้วยผืนพรมสีเขียว ทิวต้นข้าวเอนพลิ้วเป็นระลอกคลื่นแผ่ผืนออกไปกว้างไกลสุดสายตา ข้ามแม่น้ำสะโตงที่มีตำนานสมเด็จพระนเรศวรครั้งเป็นเจ้าชายไทยหนุ่มน้อยผู้เคยประทับในพระราชวังบุเรงนองถึง ๘-๙ ปี ทรงพาครอบครัวไทยหนีกลับบ้านข้ามผ่านแม่น้ำสายนี้ขณะกองทัพไล่ติดตาม
ผ่านเมืองไจ๊ก์โถ่ไปแล้วเข้าเขตภูเขาเตี้ย ๆ มีไร่สวนที่กำลังบุกเบิกพัฒนาปลูกพืชเศรษฐกิจ ต้นยางพารา มะม่วงหิมพานต์ยืนต้นเข้าแถวเรียงรายตามเนินเขาแทนป่าธรรมชาติที่ถูกกวาดออกไป มองดูแล้วได้แต่ภาวนาแบบหวาด ๆ ว่า “อย่าเลยนะ อย่าให้เห็นหมู่ภูหัวโล้นเรียงเป็นทิวแถวเหมือนประเทศที่อยู่อีกฟากภูเขาที่ชื่อว่าประเทศไทยเลยนะ” ซึ่งก็ค่อยสบายใจหน่อย ดีใจกับธรรมชาติที่ยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก เพราะต่อจากเขตสวนยางพาราและมะม่วงหิมพานต์แล้วรถก็พาซอกซอนเข้าป่าพงดงหนา ลดเลี้ยวข้ามห้วยละหารธารน้ำ และไต่ปีนเนินสูงสลับกัน
จนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งรถโค้ชคันเก่งก็ยอมแพ้ จอดรออยู่ที่หมู่บ้านเชิงเขา ให้พวกเราเหล่าศรัทธาย้ายร่างที่น้ำหนักคนละหลายสิบกิโล รวมกระเป๋าเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนอีกก็หลายกิโลอยู่ หอบไปขึ้นรถบรรทุกหกล้อไม่มีหลังคาผู้ทรหดแทน เพราะเส้นทางข้างหน้ามีแต่คุณเธอเท่านั้นรับรองความปลอดภัย(หากไม่นับยีเอ็มซีของทหารพม่า)
หมู่บ้านเชิงเขาเป็นที่พักเปลี่ยนรถจึงมีร้านค้าขายสิ่งจำเป็นรวมทั้งเสื้อกันฝนทำจากจีนตัวบางใสใส่ได้ครั้งเดียวราคาแพงกว่าที่บ้านเราหลายเท่า แต่ก็ขอบคุณละที่อุตส่าห์หามาไว้บริการ
“ รู้เห็นเป็นใจกับสายฝน และรถบรรทุกที่ไม่มีหลังคาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เราบ่นกับจุ๋มเธอก็ยิ้มพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะเขาว่าฝนที่นี่ตกบ่อยเหลือเกินในแต่ละปี ก็โธ่...ป่าเมฆแลเป็นเงาครึ้มอยู่ขอบฟ้าเห็น ๆ
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย แต่ละคนสวมเสื้อกันฝนพลาสติกบางใสหลากสี มีหมวกคลุมเชื่อมต่อจากตัวเสื้อมองคล้ายต่างก็กลับร่างเป็นมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ค้างคาว หรือมนุษย์อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมอย่างชั่วโมงที่แล้ว
“ขึ้นรถได้แล้วค่า”
หนูปุ๋ยไกด์ไทยต้อนเราปีนบันไดไปนั่งเรียงแถวบนม้านั่งยาวที่วางขวางในกระบะรถ ทุกคนเกาะพนักแน่นโดยไม่ต้องให้ปุ๋ยเตือนเพราะถนนแคบๆนั้นเริ่มวกวนไต่อ้อมภูเขา หน้าผา ฝ่าลำธารที่มีสะพานเหล็กหมิ่นเหม่ หลายคนก้มหน้าภาวนานึกถึงคุณพระคุณเจ้า หลายคนพยายามหาเรื่องสนุกมาพูดคุยกลบเกลื่อนความหวาดหวั่นที่เกาะกุมหัวใจ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ฝาดเฝื่อนเต็มที ความหนาวเหน็บเพิ่มทวีเมื่อขึ้นสู่ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
นานหลายอึดใจ รถยังคงไต่ คลาน เลี้ยวลดบนถนนคดโค้งที่บางครั้งแคบจนแทบยื่นมือออกไปสัมผัสกับกิ่งใบไหวก้านของแมกไม้บนโค้งถนน บางกิ่งก้านเหมือนต้องการรู้เห็นความเป็นไปของมวลมนุษย์จึงชะโงกง้ำล้ำเส้นออกมาทักทายใกล้ชิด
สูงขึ้นไปเป็นป่าเมฆ ต่ำลงไปในหุบเขาเป็นป่าดิบชื้น พืชตระกูล ขิง ข่าประเภทปุด เร่ว ขิงป่า มีลำต้นสูงใหญ่ ใบโตเหมือนที่ผืนป่าแถบกระบี่ พังงา ใบของกล้วยป่าที่โบกไหว ๆ อยู่ต่ำ ๆ ลงไปในหุบเขา เห็นแล้วค่อยรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคย ว่าเออ...สองฟากฝั่งของทิวเขาที่ขวางกั้นให้เป็นสองประเทศที่ปกครองแตกต่างก็มีพืชพรรณผู้คนไม่แตกต่างกันหรอก สภาพแวดล้อม อาหารการกิน และสิ่งศรัทธาล้วนมาจากรากเหง้าเดียวกัน อำนาจเท่านั้นที่แยกแยะให้ห่างเหินไม่ว่าอดีต หรือปัจจุบัน
พระธาตุ มหาเจดีย์ พระพุทธรูป และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียกร้องให้หัวใจศรัทธาเดียวกันบุกบั่น ฝ่าฟัน ไปกราบไหว้แม้ในท่ามกลางดงแห่งอำนาจที่แผ่คลุม
ตัวพระธาตุอินทร์แขวนนั้นตั้งอยู่บนยอดภู ท่ามกลางหมู่ภูสูงต่ำ เล็กใหญ่ที่แวดล้อม เป็นเหมือนด่านทดลองความแกร่งแห่งศรัทธา ที่ต้องแกร่งทั้งกำลังกาย กำลังใจจึงจะไปถึง(คุณติ๊กว่าต้องกำลังทรัพย์ด้วย...ละ)
“ตื่น ตื่น... พี่นาง ถึงแล้ว”
จุ๋มแกล้งล้อเลียนหาว่าเรานอนหลับ เมื่อมาถึงหุบเขาแคบ ๆ บนดอยสูงแห่งหนึ่งที่จอแจพลุกพล่านจนดูคล้ายเป็นเมือง มีตลาด มีชุมชน มีผู้และรถรา เป็นเมืองซึ่งซ่อนตัวในหุบเขาท่ามกลางป่าไม้และดงดอน
“เมืองลับแลหรือนี่”
แต่ไม่ใช่หรอก เมืองลับแลที่มีผีบังบดในตำนานแถบอีสานและเหนือนั้นไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริง แต่ที่นี่มีคนเดินไปมาพลุกพล่านขวักไขว่ พม่า มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ และไทยธรรมดาอย่างพวกเราเหล่าศรัทธา
ที่นี่นอกจากจะเป็นที่พักนักเดินทางแสวงบุญมาก่อนยังเป็นค่ายพักขนถ่ายเครื่องปลูกสร้างระหว่างการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวสายนี้ ปัจจุบันมันเป็นชุมชนที่มีทั้งตลาดขายสินค้าที่จำเป็น เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายนักท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่ง คราวนี้เปลี่ยนจากรถบรรทุกมาเป็นเสลี่ยงคานหาม
“ใครจะเข้าห้องน้ำก็รีบ ๆ นะครับจะมืดค่ำแล้ว”
คุณติ๊กร้องเตือนทันทีที่บันไดมาเกยข้างรถให้พวกเราก้าวขาสั่น ๆ ลงกัน
รถบรรทุกจอมทรหดทยอยพาผู้โดยสารมาถ่ายเทจนหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คน รถรา และคนหามเสลี่ยงซึ่งต้องใช้ถึง ๔ คน ต่อนักท่องเที่ยว ๑ คน
จากนี้ไปถึงวัดไจ๊ก์ทิโจ่ต้องปีนขึ้นยอดเขาเป็นระยะทาง ๓ กิโลเมตร นักท่องเที่ยวผู้ใฝ่ฝันจะไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่หนทางต้องอาศัยกำลังขาและหัวเข่าที่แข็งแกร่งที่สุดแบกน้ำหนักตัวเองขึ้นไป
มีหนทางเลือกอยู่ ๒ ทาง คือเดิน กับ นั่งเสลี่ยงให้คนหาม
เดินนั้นมีทางลัด อาจไม่ถึง ๓ กิโลเมตร ไม่ต้องเสียเงิน แต่ต้องมีเวลา และความพยายาม ที่สำคัญมีเพื่อนไปเป็นกลุ่มคอยช่วยเหลือกัน แต่ก็ต้องการคนรู้ทางอยู่ดี
เวลาใกล้มืดค่ำคณะเราจึง เลือกเสลี่ยงและเร่งรีบ รับบัตรนัมเบอร์และเดินหาเสลี่ยงซึ่งพูดภาษากันไม่รู้เรื่องได้แต่ชู ๆ เบอร์ให้ดูกัน
“พี่นาง ไปรับบัตรแล้วยัง เร็ว ๆ พวกเราไปกันหมดแล้ว”
เรามัวชักช้าตื่นตาตื่นใจกระหายข้อมูลตามนิสัยจนล่าช้ากว่าใคร จนจุ๋มตะโกนมาจากเสลี่ยงที่กำลังพาเธอรุดไปข้างหน้า จึงได้สติไปตามหาเสลี่ยงบ้าง เลยถูกคุณไกด์บ่นเอา ต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ค่อยเรียกยิ้มของคุณเธอกลับคืนมาได้
“ก็น่าหรอก เหลือเราคนสุดท้าย”
คิดพลางก็ก้าวขาข้ามคานหามเข้าไปนั่งในเก้าอี้ผ้าใบที่มีคานไม้ไผ่ ๒ ลำผูกติดตัวเก้าอี้เป็นแนวนอน ปลายท่อนไม้ยื่นล้ำออกไปหน้าหลังสำหรับยกตัวเก้าอี้ขึ้น ด้านหน้ามีกระสอบปุ๋ยสวมไว้สำหรับวางขา
“เร็วเข้านะครับ”
เสียงคุณติ๊กเตือนมา จากเสลี่ยงที่ถูกยกขึ้นบ่าของคนสี่คนซึ่งพาเธอรุดหน้าไปลิ่ว ๆ
ถึงคราเบอร์ ๔๖ ของเราบ้าง
หนึ่ง สอง ส้าม...ยก
สี่คนที่ยืนประกบ เคียงข้าง หน้าสอง หลังสอง นับพร้อมกัน แม้ฟังไม่ออกแต่น้ำเสียง กอรปกับกิริยาย่างนั้นก็เดาเอาได้ เพราะพอคำสุดท้ายจบเก้าอี้ผ้าใบก็ยกตัวเราขึ้นถึงเอวเขา พักนิดหนึ่ง หายใจยาวพร้อมกัน
นับอีกที เป็นการยกเพื่อขึ้นบ่าให้พร้อมกัน ครานี้เท้าของเราซึ่งเหยียดอยู่บนกระสอบก็อยู่ตรงคอของสองคนข้าหน้าพอดี โห...แทบจะขอลงเดินไป
เขิน และสงสารเขาน่ะ ตัวเราก็หนักไม่น้อย แถมต้องปีนเขาขรุ ๆ ขระ ๆ อีก
สงสารก็นั่งไปซีเพราะเขาจะได้งานได้เงิน นี่เป็นงานของเขาน่ะ
แล้วเก้าอี้ผ้าใบตัวสุดท้ายในคณะก็โยกโยน หยุด ไป...โยกโยน หยุด ไป...ตามจังหวะการก้าวเดินของคนทั้งสี่ และหยุด พักเป็นวรรค ๆ ไปด้วยเพื่อเรียกแรง
บนเส้นทางคดโค้ง หนาวเย็น และกำลังมือสลัวราง สองข้างทางคือป่าเมฆคลุม
โขดหิน และลำธาร สูงต่ำ ได้ยินแต่เสียงลมที่โบยโบกยอดเขา และเสียงลมหายใจของชายฉกรรจ์ทั้งสี่ผู้แบกคานหาม
๐๐๐๐