http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 07/08/2024
สถิติผู้เข้าชม14,276,452
Page Views16,603,058
« September 2024»
SMTWTFS
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930     
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

พม่าไม่ไปไม่รู้9 โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ ลดเลี้ยวสู่โค้งฟ้า ไหว้พระธาตุอินทร์แขวน

พม่าไม่ไปไม่รู้9 โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ  ลดเลี้ยวสู่โค้งฟ้า ไหว้พระธาตุอินทร์แขวน

พม่าไม่ไปไม่รู้ ๙

ลดเลี้ยวสู่โค้งฟ้า  ไหว้พระธาตุอินทร์แขวน

โดยเอื้อยนาง เรื่อง-ภาพ

 

              พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ๊ก์ทิโจ่ (Kyaihtiyo)  ในวัดไจ๊ก์ทิโจ่    เป็น ๑ ใน ๕

 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในประเทศพม่าที่พุทธศาสนิกชนทั้งในและนอกประเทศนิยมไปสักการบูชา อันได้แก่

            ๑มหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง กรุงร่างกุ้ง

            ๒มหาเจดีย์ชเวสิกอง  เมืองพุกาม

            ๓มหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอว์ (พระธาตุมุเตา)  เมืองหงสาวดี

            ๔พระมหามัยมุนี  พระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย  เมืองมัณฑะเลย์

            ๕พระธาตุอินทร์แขวน  เมืองไจ๊ก์โถ่ เขตรัฐมอญ

            ไจ๊ก์ทิโจ่ ในภาษามอญหมายถึง ก้อนศิลารูปศีรษะ  ตำนานว่าเป็นศีรษะพระฤาษีผู้เก็บพระเกศาธาตุ ๒ เส้นไว้ในมวยผม  ครั้นใกล้จะสิ้นอายุขัยก็อยากได้ก้อนศิลาลักษณะคล้ายรูปศีรษะตนเอง  ไว้เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ  และสมปราถนาตามความตั้งใจ

            ก้อนศิลาพิเศษนี้มีตำนานเล่าขานสืบมา  วันหลังคงได้เล่าอีกทีนะคะ   เอาเป็นเข้าใจกันว่า  นั่นคือ  พระธาตุอินทร์แขวนที่ตั้งอยู่ในวัดบนยอดเขา Paung  Laung  สูงถึง ๓,๖๑๕    ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล

            ตัวพระธาตุเป็นศิลาก้อนหนึ่งต่อส่วนยอดขึ้นเป็นยอดเจดีย์   ปิดทองเหลืองอร่าม สูง ๕.๕ เมตร  ตั้งหมิ่นเหม่ท้าทายแรงดึงดูดของโลกบนหน้าผาสูงชัน   ตั้งท้าทายอยู่อย่างนั้นแม้เกิดแผ่นดินไหวในพม่าหลายครั้ง  ก็ยังไม่เป็นไรช่างน่าอัศจรรย์   จึงท้าทายศรัทธาของผู้คนให้ดั้นด้นไปสักการะให้ถึงให้ได้

            เส้นทางจากหงสาวดีสู่พระธาตุอินทร์แขวนเป็นระยะทาง ๑๘๐ กิโลเมตร  เราจากลาพระราชวังแห่งอดีตกษัตริย์นักรบผู้ชนะทั้งสิบทิศ  ออกจากหงสาวดีมุ่งหน้าสู่ตะวันออก  ผ่านท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่ปูลาดด้วยผืนพรมสีเขียว  ทิวต้นข้าวเอนพลิ้วเป็นระลอกคลื่นแผ่ผืนออกไปกว้างไกลสุดสายตา  ข้ามแม่น้ำสะโตงที่มีตำนานสมเด็จพระนเรศวรครั้งเป็นเจ้าชายไทยหนุ่มน้อยผู้เคยประทับในพระราชวังบุเรงนองถึง ๘-๙ ปี  ทรงพาครอบครัวไทยหนีกลับบ้านข้ามผ่านแม่น้ำสายนี้ขณะกองทัพไล่ติดตาม

            ผ่านเมืองไจ๊ก์โถ่ไปแล้วเข้าเขตภูเขาเตี้ย ๆ มีไร่สวนที่กำลังบุกเบิกพัฒนาปลูกพืชเศรษฐกิจ  ต้นยางพารา  มะม่วงหิมพานต์ยืนต้นเข้าแถวเรียงรายตามเนินเขาแทนป่าธรรมชาติที่ถูกกวาดออกไป  มองดูแล้วได้แต่ภาวนาแบบหวาด ๆ ว่า  “อย่าเลยนะ  อย่าให้เห็นหมู่ภูหัวโล้นเรียงเป็นทิวแถวเหมือนประเทศที่อยู่อีกฟากภูเขาที่ชื่อว่าประเทศไทยเลยนะ”  ซึ่งก็ค่อยสบายใจหน่อย  ดีใจกับธรรมชาติที่ยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก  เพราะต่อจากเขตสวนยางพาราและมะม่วงหิมพานต์แล้วรถก็พาซอกซอนเข้าป่าพงดงหนา ลดเลี้ยวข้ามห้วยละหารธารน้ำ  และไต่ปีนเนินสูงสลับกัน 

            จนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งรถโค้ชคันเก่งก็ยอมแพ้   จอดรออยู่ที่หมู่บ้านเชิงเขา   ให้พวกเราเหล่าศรัทธาย้ายร่างที่น้ำหนักคนละหลายสิบกิโล  รวมกระเป๋าเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนอีกก็หลายกิโลอยู่  หอบไปขึ้นรถบรรทุกหกล้อไม่มีหลังคาผู้ทรหดแทน   เพราะเส้นทางข้างหน้ามีแต่คุณเธอเท่านั้นรับรองความปลอดภัย(หากไม่นับยีเอ็มซีของทหารพม่า)

            หมู่บ้านเชิงเขาเป็นที่พักเปลี่ยนรถจึงมีร้านค้าขายสิ่งจำเป็นรวมทั้งเสื้อกันฝนทำจากจีนตัวบางใสใส่ได้ครั้งเดียวราคาแพงกว่าที่บ้านเราหลายเท่า แต่ก็ขอบคุณละที่อุตส่าห์หามาไว้บริการ

            “ รู้เห็นเป็นใจกับสายฝน  และรถบรรทุกที่ไม่มีหลังคาหรือเปล่าก็ไม่รู้”

            เราบ่นกับจุ๋มเธอก็ยิ้มพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะเขาว่าฝนที่นี่ตกบ่อยเหลือเกินในแต่ละปี  ก็โธ่...ป่าเมฆแลเป็นเงาครึ้มอยู่ขอบฟ้าเห็น ๆ

            ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย  แต่ละคนสวมเสื้อกันฝนพลาสติกบางใสหลากสี มีหมวกคลุมเชื่อมต่อจากตัวเสื้อมองคล้ายต่างก็กลับร่างเป็นมนุษย์ต่างดาว  มนุษย์ค้างคาว  หรือมนุษย์อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมอย่างชั่วโมงที่แล้ว 

           “ขึ้นรถได้แล้วค่า”

            หนูปุ๋ยไกด์ไทยต้อนเราปีนบันไดไปนั่งเรียงแถวบนม้านั่งยาวที่วางขวางในกระบะรถ  ทุกคนเกาะพนักแน่นโดยไม่ต้องให้ปุ๋ยเตือนเพราะถนนแคบๆนั้นเริ่มวกวนไต่อ้อมภูเขา  หน้าผา  ฝ่าลำธารที่มีสะพานเหล็กหมิ่นเหม่  หลายคนก้มหน้าภาวนานึกถึงคุณพระคุณเจ้า  หลายคนพยายามหาเรื่องสนุกมาพูดคุยกลบเกลื่อนความหวาดหวั่นที่เกาะกุมหัวใจ  แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ฝาดเฝื่อนเต็มที  ความหนาวเหน็บเพิ่มทวีเมื่อขึ้นสู่ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

            นานหลายอึดใจ รถยังคงไต่ คลาน เลี้ยวลดบนถนนคดโค้งที่บางครั้งแคบจนแทบยื่นมือออกไปสัมผัสกับกิ่งใบไหวก้านของแมกไม้บนโค้งถนน  บางกิ่งก้านเหมือนต้องการรู้เห็นความเป็นไปของมวลมนุษย์จึงชะโงกง้ำล้ำเส้นออกมาทักทายใกล้ชิด

            สูงขึ้นไปเป็นป่าเมฆ  ต่ำลงไปในหุบเขาเป็นป่าดิบชื้น  พืชตระกูล  ขิง ข่าประเภทปุด  เร่ว  ขิงป่า  มีลำต้นสูงใหญ่ ใบโตเหมือนที่ผืนป่าแถบกระบี่ พังงา ใบของกล้วยป่าที่โบกไหว ๆ อยู่ต่ำ ๆ ลงไปในหุบเขา  เห็นแล้วค่อยรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคย  ว่าเออ...สองฟากฝั่งของทิวเขาที่ขวางกั้นให้เป็นสองประเทศที่ปกครองแตกต่างก็มีพืชพรรณผู้คนไม่แตกต่างกันหรอก  สภาพแวดล้อม  อาหารการกิน  และสิ่งศรัทธาล้วนมาจากรากเหง้าเดียวกัน  อำนาจเท่านั้นที่แยกแยะให้ห่างเหินไม่ว่าอดีต หรือปัจจุบัน                 

            พระธาตุ  มหาเจดีย์  พระพุทธรูป  และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียกร้องให้หัวใจศรัทธาเดียวกันบุกบั่น ฝ่าฟัน ไปกราบไหว้แม้ในท่ามกลางดงแห่งอำนาจที่แผ่คลุม

            ตัวพระธาตุอินทร์แขวนนั้นตั้งอยู่บนยอดภู  ท่ามกลางหมู่ภูสูงต่ำ เล็กใหญ่ที่แวดล้อม  เป็นเหมือนด่านทดลองความแกร่งแห่งศรัทธา  ที่ต้องแกร่งทั้งกำลังกาย กำลังใจจึงจะไปถึง(คุณติ๊กว่าต้องกำลังทรัพย์ด้วย...ละ)

            “ตื่น  ตื่น... พี่นาง  ถึงแล้ว”

            จุ๋มแกล้งล้อเลียนหาว่าเรานอนหลับ  เมื่อมาถึงหุบเขาแคบ ๆ บนดอยสูงแห่งหนึ่งที่จอแจพลุกพล่านจนดูคล้ายเป็นเมือง มีตลาด มีชุมชน มีผู้และรถรา  เป็นเมืองซึ่งซ่อนตัวในหุบเขาท่ามกลางป่าไม้และดงดอน

            “เมืองลับแลหรือนี่”

            แต่ไม่ใช่หรอก เมืองลับแลที่มีผีบังบดในตำนานแถบอีสานและเหนือนั้นไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริง  แต่ที่นี่มีคนเดินไปมาพลุกพล่านขวักไขว่   พม่า มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ และไทยธรรมดาอย่างพวกเราเหล่าศรัทธา

            ที่นี่นอกจากจะเป็นที่พักนักเดินทางแสวงบุญมาก่อนยังเป็นค่ายพักขนถ่ายเครื่องปลูกสร้างระหว่างการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวสายนี้  ปัจจุบันมันเป็นชุมชนที่มีทั้งตลาดขายสินค้าที่จำเป็น  เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายนักท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่ง  คราวนี้เปลี่ยนจากรถบรรทุกมาเป็นเสลี่ยงคานหาม

            “ใครจะเข้าห้องน้ำก็รีบ ๆ นะครับจะมืดค่ำแล้ว”

            คุณติ๊กร้องเตือนทันทีที่บันไดมาเกยข้างรถให้พวกเราก้าวขาสั่น ๆ ลงกัน

            รถบรรทุกจอมทรหดทยอยพาผู้โดยสารมาถ่ายเทจนหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คน รถรา และคนหามเสลี่ยงซึ่งต้องใช้ถึง ๔ คน ต่อนักท่องเที่ยว ๑ คน

            จากนี้ไปถึงวัดไจ๊ก์ทิโจ่ต้องปีนขึ้นยอดเขาเป็นระยะทาง ๓ กิโลเมตร  นักท่องเที่ยวผู้ใฝ่ฝันจะไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล  แต่หนทางต้องอาศัยกำลังขาและหัวเข่าที่แข็งแกร่งที่สุดแบกน้ำหนักตัวเองขึ้นไป

                 

            มีหนทางเลือกอยู่ ๒ ทาง คือเดิน กับ นั่งเสลี่ยงให้คนหาม

            เดินนั้นมีทางลัด  อาจไม่ถึง ๓ กิโลเมตร ไม่ต้องเสียเงิน แต่ต้องมีเวลา และความพยายาม  ที่สำคัญมีเพื่อนไปเป็นกลุ่มคอยช่วยเหลือกัน  แต่ก็ต้องการคนรู้ทางอยู่ดี 

            เวลาใกล้มืดค่ำคณะเราจึง   เลือกเสลี่ยงและเร่งรีบ  รับบัตรนัมเบอร์และเดินหาเสลี่ยงซึ่งพูดภาษากันไม่รู้เรื่องได้แต่ชู ๆ เบอร์ให้ดูกัน 

            “พี่นาง  ไปรับบัตรแล้วยัง  เร็ว ๆ พวกเราไปกันหมดแล้ว”

            เรามัวชักช้าตื่นตาตื่นใจกระหายข้อมูลตามนิสัยจนล่าช้ากว่าใคร   จนจุ๋มตะโกนมาจากเสลี่ยงที่กำลังพาเธอรุดไปข้างหน้า   จึงได้สติไปตามหาเสลี่ยงบ้าง  เลยถูกคุณไกด์บ่นเอา  ต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ค่อยเรียกยิ้มของคุณเธอกลับคืนมาได้

            “ก็น่าหรอก  เหลือเราคนสุดท้าย”

                 

            คิดพลางก็ก้าวขาข้ามคานหามเข้าไปนั่งในเก้าอี้ผ้าใบที่มีคานไม้ไผ่ ๒ ลำผูกติดตัวเก้าอี้เป็นแนวนอน  ปลายท่อนไม้ยื่นล้ำออกไปหน้าหลังสำหรับยกตัวเก้าอี้ขึ้น  ด้านหน้ามีกระสอบปุ๋ยสวมไว้สำหรับวางขา 

            “เร็วเข้านะครับ”

            เสียงคุณติ๊กเตือนมา  จากเสลี่ยงที่ถูกยกขึ้นบ่าของคนสี่คนซึ่งพาเธอรุดหน้าไปลิ่ว ๆ

            ถึงคราเบอร์ ๔๖ ของเราบ้าง 

            หนึ่ง  สอง  ส้าม...ยก

            สี่คนที่ยืนประกบ เคียงข้าง  หน้าสอง  หลังสอง นับพร้อมกัน   แม้ฟังไม่ออกแต่น้ำเสียง    กอรปกับกิริยาย่างนั้นก็เดาเอาได้    เพราะพอคำสุดท้ายจบเก้าอี้ผ้าใบก็ยกตัวเราขึ้นถึงเอวเขา  พักนิดหนึ่ง  หายใจยาวพร้อมกัน

            นับอีกที   เป็นการยกเพื่อขึ้นบ่าให้พร้อมกัน  ครานี้เท้าของเราซึ่งเหยียดอยู่บนกระสอบก็อยู่ตรงคอของสองคนข้าหน้าพอดี  โห...แทบจะขอลงเดินไป

            เขิน  และสงสารเขาน่ะ  ตัวเราก็หนักไม่น้อย  แถมต้องปีนเขาขรุ ๆ ขระ ๆ อีก

            สงสารก็นั่งไปซีเพราะเขาจะได้งานได้เงิน  นี่เป็นงานของเขาน่ะ

            แล้วเก้าอี้ผ้าใบตัวสุดท้ายในคณะก็โยกโยน  หยุด  ไป...โยกโยน  หยุด  ไป...ตามจังหวะการก้าวเดินของคนทั้งสี่ และหยุด พักเป็นวรรค ๆ ไปด้วยเพื่อเรียกแรง

            บนเส้นทางคดโค้ง หนาวเย็น และกำลังมือสลัวราง สองข้างทางคือป่าเมฆคลุม

โขดหิน  และลำธาร สูงต่ำ  ได้ยินแต่เสียงลมที่โบยโบกยอดเขา  และเสียงลมหายใจของชายฉกรรจ์ทั้งสี่ผู้แบกคานหาม 

           ๐๐๐๐

           

 

 

             

           

 

           

 

           

           

 

Tags : พม่าไม่ไปไม่รู้ ท่องเที่ยวนอกถิ่นไทย

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view