พม่าไม่ไปไม่รู้ ๑๔
รักอมตะของ Nat Shin Naung
“เอื้อยนาง”
ฟ้าเหนือหงสาวดีกระจ่างใสเมื่อเราออกจากวัดชเวตาเลียว มุ่งหน้ากลับสู่ กรุงย่างกุ้งที่เราทิ้งมาแต่เมื่อวาน ผ่านย่านชุมชนออกมาไม่นานเราก็ทิ้งหงสาวดีไว้ข้างหลัง ทุ่งข้าวเขียวขจีแผ่ผืนกว้างออกไป ราวกับหล้าโลกถูกปกคลุมด้วยทิวข้าวเขียว ฝูงวัวตัวอ้วน ๆ ยังคงมีให้เห็นเช่นเมื่อวาน มันถูกคนผู้แบกไม้เรียวลำยาว ๆ ต้อนให้เดินตามก้นกัน และจัดแถวจัดแนวให้ไปตามขอบข้างหว่างถนนและทิวข้าว
ถนนสีดำที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าดูราวกับจะมุดตัวเข้าในผืนพรมแห่งป่าข้าว เสียงคุณติ๊กไกด์คนขยันเล่าตำนาน และเกร็ดประวัติศาสตร์แห่งพม่าดังขึ้นเป็นภาษาไทยสำเนียงพม่าเหนือ น่าฟัง หลั่งไหล ต่อเนื่อง เหมือนสายน้ำเอยาวดี(อิรวดี)ที่ทอดยาวลงมาจากหิมาลัยผ่านทิวเขา สู่ที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ไม่เคยขาดสาย
คงเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อย สะบักสะบอมจากการเดินทาง จากวัดพระธาตุอินทร์แขวนลงมา กอรปกับเพิ่งอิ่มตื้อจากมื้อกลางวันมาใหม่ ๆ หนังท้องตึงจึงพลอยดึงหนังตาให้หย่อน หลายคนจึงเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา และเคลิ้มฝัน ในรถจึงเงียบ มีแต่คุณติ๊กที่ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ไม่เคยเห็นเธอแสดงอาการว่าเหน็ดเหนื่อย หรือมีอารมณ์ แม้บางครั้งจะมีลูกทัวร์คนไทยขุดเอารอยแค้นทางประวัติศาสตร์ขึ้นมาทวงถาม แบบตื้นเขินทางปัญญา ตามประสาคนมีวิสัยทัศน์แคบ ๆ ที่เติบโต และเรียนรู้ประวัติศาสตร์มาจากการปลุกปั้นด้วยวาทกรรมที่สรรสร้างทางการเมืองหลายยุคสมัย ก็ไม่เห็นเธอตอบโต้ ว่ากระไร ยังคงมีแต่ยิ้มเย็น บางครั้งทำเป็นไม่ได้ยิน ขึ้นรถได้ก็คว้าไมค์ และเรื่องราวน่าฟังกว่าก็หลั่งไหลรินร่ำ
ฉันทอดสายตามองทิวดอกอ้อสีเทาเงินที่เอนไหวลู่ลมอยู่ริมทุ่งสีเขียว ครึ่ง ๆ เคลิ้ม ๆ จะหลับ ขณะหูยังแว่ว ๆ เรื่องราวอันเคยรุ่งเรืองในอดีตแห่งดินแดนลุ่มน้ำอิรวดี และสาละวิน ทุ่งกว้างแห่งนี้กี่ครั้งกันหนอที่กองทัพ ช้างม้า และวีระบุรุษผู้กล้าในสงครามเคยประทับรอยเท้าลงไปต้นอ้อที่เอนไหวอยู่วิบวิ้วดูคล้ายจะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม และกลับกลายรูปร่างเป็นคนบนหลังม้า กำลังเหยาะย่างด้วยจังหวะท่วงท่าสง่างาม ชายผ้าโพกศรีษะสบัดพลิ้วอาการเดียวกับพู่พวงหางม้าใกล้เข้ามาจนเห็นหน้าคมคายชัดเจนขึ้น จุดเด่นบนใบหน้า คือดวงตาคมวาวเปล่งประกายกล้าราวกับดวงดาวที่กะพริบพราวอยู่เหนือฟ้ายามค่ำคืน
เขาก็คือหนุ่มน้อย นักรบ รูปงามนาม Nat Shin Naung(2121-2156)“นัต ชิน หน่อง” กวีหนุ่ม นักรบผู้มากความสามารถ และรัชทายาท แห่งตองอู ผู้เติบโตและร่ำเรียนจากราชสำนักบุเรงนองแห่งหงสาวดี เขาเป็นหนุ่มผู้ปราดเปรื่องทั้งเรื่องบุ๋น และบู๊ เคยเข้าร่วมกับกองทัพตั้งแต่อายุเพียง ๙ ปี
ในคราที่สมเด็จพระนเรศวรกับมังกยอชวา มหาอุปราชาแห่งหงสาวดีพระญาติผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าพี่ของนัตชินหน่องกระทำยุทธหัตถี จนเจ้าพี่ขาดคอช้างนั้น นัตชินหน่องก็อยู่บนหลังช้างใกล้ ๆ นั้น และรับอาสาเป็นม้าเร็วนำข่าวเศร้ามาทูลพระพี่นาง ราชาธาตุกัลยานี (Yaza Datu Kalayani) ผู้เป็นพระราชายาของเจ้าพี่มังกยอชวา (Mingyi Swa)
ใคร ๆ ทั้งราชสำนักแห่งหงสาวดี และตองอู ต่างรู้กันทั่วว่าหนุ่มนักรบ นักประพันธุ์ทายาทแห่งตองอูผู้นี้มีใจให้พระพี่นางมาตั้งแต่เยาว์วัย นางผู้เลอโฉมเป็นพระญาติฝ่ายมารดามีอายุมากกว่าถึง ๖ ปี(บ้างว่า ๑๘ ปี – Memorable Tomb ของนัตชินหน่องในย่างกุ้ง) ใจรักนี้จึงเป็นใจรักอันบริสุทธิ์ เทิดทูน และมั่นคงแม้นางนั้นจะเข้าอภิเษกเป็นพระชายาของเจ้าพี่มหาอุปราชาด้วยเหตุผลทางการเมืองแล้ว บกวีบรรยายความรัก ความใฝ่ฝันยังคงกลั่นออกมาเพื่อเธอไม่ขาดสาย ขอเพียงได้รู้ว่านางมีความสุขก็สุขใจแล้ว ยามห่างไกลไปทัพจับศึกไม่ได้อยู่ใกล้ ไม่ได้เห็นหน้า ได้พบได้เห็นสิ่งใดล้วนบรรยายเปรียบเปรยถึงเธอ ให้เธอได้รู้ว่ารักและคิดถึงนักหนาก็เพียงพอแล้ว
“บัดนี้ พระพี่นางเป็นม่าย และมีอิสระแล้ว ก็แต่งกับข้าได้แล้วซี”
หัวใจที่เปี่ยมรักย่อมพองโตด้วยความหวัง แต่ความหวังนั้นก็สูญสลายไปพลันเมื่อสมเด็จลุงนันทบุเรงเจ้าแห่งหงสาวดีประกาศว่า
“จะแต่งกับนัตชินหน่องได้อย่างไร อายุมากกว่ากันมากมาย ข้ามีแผนแล้วจะให้นางแต่งออกไปอังวะ หรือไม่ก็เมืองแปร”
นัตชินหน่องจึงกลับตองอูด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่สิ้นหวัง และตั้งปณิธานไว้ว่าวันหนึ่งต้องขึ้นเป็นพระราชาและอภิเษกนางให้เป็นราชินีให้ได้
หัวอกของนัตชินหน่องระบมด้วยไฟคุกรุ่นอยู่ภายในรอวันปะทุ เช่นเดียวกับราชสำนักหงสาวดีช่วงเวลานั้น พระเจ้านันทบุเรงทรงตั้งอยู่ท่ามกลางความแตกแยกของข้าราชสำนัก แม่ทัพนายกองที่เคยแข็งแกร่งในยุคพระราชบิดาบุเรงนองล้วนแก่เฒ่า อ่อนกำลังลง ยิ่งต้องมาสูญเสียราชบุตรองค์โตในเงื้อมมือของศัตรูยิ่งทำให้ความฉุนเฉียวเข้าครอบงำ ทำให้ประสิทธิภาพในด้านการปกครองด้อยลงไป ทรงเอาแต่พระทัย มุทะลุขับไล่ให้มิตร และญาติแยกตัวออกไปจนราชสำนักอ่อนแอ ในที่สุดหงสาวดีก็แตกสลายย่อยยับ ด้วยกองทัพของยะไข่ร่วมกับดองอู พระองค์ถูกจับไปที่ตองอูและถูกนัตชินหน่องปลงพระชนม์ในตองอูนั่นเอง
ในปี พ.ศ.๒๑๕๐ นัตชินหน่องได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองตองอูจากพระบิดา และได้อภิเษกกับพระนางกัลยานีสมดังความตั้งใจที่มีมายาวนาน แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลก พระนางมีชีวิตอยู่มาอีกเพียง ๘ เดือนหลังจากนั้นเท่านั้นเองพระนางก็สิ้นลมท่ามกลางความรักความอาลัยของชายผู้รักนางอย่างแท้จริงมาตลอดชีวิต
นางเป็นแรงบันดาลใจให้ บทกวีมากมายรินร่ำ หลั่งไหลเพื่อนาง และนางเองก็เป็นกวีเช่นกัน บทกวีเหล่านี้ยังคงอยู่มาเป็นมรดกให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษามาจนปัจจุบัน
“ถึงแล้วครับ ย่างกุ้ง”
เสียงหนูปุ๋ยไกด์สาวชาวไทยแผดดังขึ้นปลุกทุกคนจากห้วงนิทรา และเตรียมตัวลงไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งก่อนเข้าที่พัก
๐๐๐๐๐๐