วรรณกรรมเยาวชน
กิ่งคำปายกับยายทวด
โดยเอื้อยนาง
ตอน๑๕. จันทร์ดวงเดียวกัน
พระจันทร์ข้างแรมยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้ามาทอดทอแสง แต่ไฟกองเล็กที่เรียงรายอยู่หน้ากระโจมแต่ละหลังซึ่งปลูกหันหน้าเข้าหากันเป็นรูปวงกลม ให้ความสว่างเรืองไปทั่วทั้งค่าย
ภายในวงกลมเป็นลานโล่ง เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันเกรียวกราว กลุ่มผู้หญิงนั่งชุมนุมกันอยู่รอบกองไฟหน้ากระโจม ตกแต่งทรงผมให้กัน และใช้ผงโอเคอร์(ochre)ดินสีแดง(ดินส้ม)ผสมไขมันจากนกอีมูคลุกเคล้าให้เป็นแป้งเปียกพอกประเทืองผิว แป้งเปียกดินส้มนี้นอกจากมันจะทำให้ผิวสีสวยงามแล้ว มันยังช่วยสมานบาดแผลเล็กใหญ่ ที่เป็นรอยขีดข่วนจากกิ่งไม้ หรือเรียวหนาม ในการบุกป่าฝ่าโคลนริมหนองน้ำทั้งวันที่ผ่านมา ทั้งยังใช้มันทาเคลือบผิวป้องกันยุง แมลงต่าง ๆ และป้องกันความหนาวเย็นในยามค่ำคืนอีกด้วย หญิงแม่ลูกอ่อนใช้แป้งที่ทำจากผงเถ้าของต้นที(tea tree)เป็นส่วนผสมลงไปอีกคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกตัวลูกน้อยของเธอ เหมือนกิ่งคำปายที่เคยถูกยายพอกแป้งดินสอพองผสมขมิ้นให้ ก่อนอุ้มให้กินนมกล่อมนอน กลิ่นเถ้าควันและไขมันสัตว์ฟุ้งตลบไปทั้งค่ายกลางพงไพร
กลุ่มชายอาวุโส นั่งเป็นวงคุยกันรอบกองไฟหน้ากระโจมใหญ่
นี่เป็นเวลาพักผ่อนหลังกินอาหารเย็นของชาวค่าย โรบินสัน ถูกจัดให้พักในกระโจมเดียวกับตัมบูที่อยู่ห่างออกมาทางชายป่า
เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับตัมบูหลายคนต่างสร้างกระโจมพักของตนเอง ตั้งเป็นกลุ่มอยู่ห่างออกมาจากกระโจมรอบกองไฟอื่น ๆ พวกเขาเหล่านี้ยังเป็นโสด ยังไม่มีพ่อ หรือญาติผู้ใหญ่ของผู้หญิงคนใดพอใจจะยกลูกสาวให้ แต่พวกเขาก็โตเกินกว่าจะพักอยู่ในกระโจมรวมกับพ่อแม่แล้ว จึงแยกตัวออกมาสร้างกระโจมเล็กของตนเองรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม
ตัมบูยังไม่ถือว่าเป็นสมาชิกมาเคอจูลาอย่างสมบูรณ์ เพราะยังไม่ผ่านพิธีการรับเอาเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ยังไม่มีชื่อที่ได้รับเป็นทางการว่าเขาเป็นสมาชิกเต็มตัวแห่งเผ่าพันธุ์มาเคอจูลา ชื่อ “ตัมบู” นั้นเป็นชื่อที่พ่อแม่เรียกเขาตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ มา เพราะเขามักทำอะไรด้วยมือซ้าย จึงได้ชื่อนี้ที่หมายถึงมือซ้าย
แม้ว่าตัมบูจะเติบโตมากพอแล้ว เขาสูงเกือบเท่าแม่ แขนขายาวเก้งก้างและแข็งแรง แต่เขายังไม่ประสบความสำเร็จในการใช้อาวุธประเภทแหลน หลาว พิชิตสัตว์ใหญ่ๆ ใดๆ หรือแม้แต่การใช้กระบองขว้างสอบเอาเหยี่ยวที่บินสูงในอากาศให้ตกลงมา ตัมบูก็ยังทำไม่ได้ แม้สักตัวเดียว ทั้ง ๆ มันเป็นงานง่าย ๆ ที่วีระบุรุษชาวเผ่าเขาทำเป็นกิจวัตร
ตัมบูทำได้เพียงช่วยพวกผู้หญิง เก็บผัก ผลไม้ป่า และจับสัตว์เล็กๆ พวกนกสวย ๆ หนู กระรอก กระต่าย ไม่ก็ลงไปงมกุ้ง หอย ปู ปลาริม ๆ ขอบบึงเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น อย่างดีที่สุดที่เขาทำได้คือล่าห่านป่า หรือช่วยผู้ชายอื่น ๆ เล่นกลหลอกล่อล้อเลียนให้นกอีมูโกรธด้วยความสนุกสนานของเขาเท่านั้น แม้กิจกรรมนี้ที่ทำให้นกอีมูจอมโมโหไล่ตามเขาจนชายหนุ่มคนอื่น ๆ คอยหวดมันได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงว่าตัมบูสมควรจะมีคู่ สามารถดูแลปกป้องลูกสาวของใครได้แต่อย่างใด
ตัมบูจึงอยู่ห่างไกลจากความหวังว่าจะมีชายใดมองเห็นเขาว่า คู่ควรกับผู้หญิงในความคุ้มครองของตน ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวกำลังเติมใหญ่ หรือหญิงม่ายไร้สามี แม้เขาจะมีกระโจมใหญ่กว้างสำหรับสองสามคน และอบอุ่นนุ่มนิ่มเพราะพื้นถูกบุรองด้วยขนนกปูทับด้วยหญ้าแห้งจนนอนสบายก็ตาม
ตัมบูเองก็ไม่นึกอยากแต่งงานกับใครสักคนหรอก แม้ว่าการมีผู้หญิงเป็นภรรยาไม่ว่าสาวหรือแก่ล้วนสร้างความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันให้ผู้ชาย แต่ตัมบูพอใจจะอยู่อย่างเด็กผู้ชายโค่งอย่างนี้มากกว่า เขามีมามิริเป็นคู่หูก็ดีที่สุดแล้ว เผลอ ๆ ได้ชวนกันหลบหนีขึ้นไปบนยอดเขาแอบดูเมืองลับแลดินแดนต้องห้ามที่ทุกคนในเผ่าเกรงกลัว กระโจมหลังเล็กจึงให้ความสุขเพียงพอสำหรับเด็กชายโค่งอย่างตัมบู
แต่วันนี้มันออกจะคับแคบไปถนัดเมื่อมีหนุ่มโย่งอย่างโรบินสันเข้ามาเบียด
หากไม่ติดที่กลิ่นแปลก ๆ อับ ๆ จากขนนก และใบไม้ชื้น ๆ จนแทบสำลักแล้ว สำหรับหนุ่มโย่งโรบินสันก็ถือได้ว่า เป็นที่พักอันอบอุ่น และดีกว่านอนขดบนพื้นดินอยู่ข้างกองไฟใต้แสงเดือน และดาวอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมาทีเดียว
ส่วนกิ่งคำปายหลานยายสร้อยสายคำเหลนทวดคำปลิวนั้น เธอจะต้องเบียดตัวในกระโจมใหญ่หลังเดียวกับแม่เฒ่านาไบ และเด็กผู้หญิงอีกหลายคน รวมทั้งมามิริด้วย วอมแบตเฒ่ากับนางจิงโจ้โมบายได้รับอนุญาตให้อยู่ด้วยได้ ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับชาวค่ายเผ่ามาเคอจูลาแต่อย่างใด เพราะเด็กหรือคนแก่บางคนมีสัตว์เลี้ยง เช่น หมาดิงโก้นอนเป็นเพื่อนในกระโจมอยู่แล้ว
ดึกแล้ว พระจันทร์ดวงเว้าเดินเฉียงขอบฟ้าเหนือภูเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ทันใดนั้นฟ้าที่เคยโปร่งพลันกลับมืดลง ดวงดาวที่กะพริบพราวรอบพระจันทร์ดวงเว้า ซึ่งเดินเฉียงใกล้จะลับขอบฟ้าพลันเลือนหาย มีเสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้าง พร้อมกับแสงแวบวาบเป็นระยะ เสียงลมพัดอื้ออึงตามมา
เฒ่านาไบลุกไปเติมฟืนที่กองไฟ ประสบการณ์ที่ได้จากการไม่รักษากองไฟดังเมื่อคืนก่อน ๆ ทำให้ต้องจรไปนอนในที่ลับใต้โพรงไม้ทำให้แม่เฒ่าหวาดผวา ว่าต้องดูแลระวังรักษาไฟมากขึ้น ผู้หญิงและเด็ก ๆ ลุกมาออกันอยู่เป็นกลุ่มเงี่ยหูฟังเสียงฟ้า เสียงลม
ท่ามกลางเสียงลมที่พัดอู้ ก็มีเสียงเพลงดังขึ้นมาเสียดแทรก ด้วยมีผู้ชายบางคนเริ่มต้นร้องเพลงเสียงโหยหวนทวนเสียงลม เรียกให้หลายคนกระโดดขึ้นราวกับถูกจี้ ต่างเริ่มต้นทำกิจกรรมบางอย่าง อย่างรวดเร็ว บ้างตกแต่งทรงผมด้วยขนนก บ้างใช้ผงถ่าน และผงดินส้ม ผสมน้ำมันวาดหน้า ระบายสีตามตัวจนลายพร้อย แล้วใช้กิ่งไม้ ใบไม้ถูกผูกติกันเป็นพวงนำมามัดรอบเอว และแขนขา วาดท่ากระโดดโลดเต้นออกไปรอบวงกลมของกองไฟ หญิงสาวกลุ่มหนึ่งนำกลองที่ทำจากหนังจิงโจ้ออกมาตี และร้องเพลง เด็ก ๆ กลับเข้ากระโจม นอนฟัง กิ่งคำปายลุกขึ้นนั่งกอดยายทวดในร่างวอมแบตแน่น มีเพื่อนแม่ลูกอ่อนในร่างนางจิงโจ้เบียดชิดกันอยู่ในกระโจม
เปลวไฟลุกโพลงพุ่งสูงสู่ฟ้า ส่งบทเพลงที่สวดร้องเป็นทำนองเว้าวอนให้ล่องลอยอ้อยอิ่งไปกับความอบอุ่น และกรุ่นกลิ่นควันไฟ
เป็นบทเพลงบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่บรรพกาล (dream time ) สืบทอดนานมาถึงรุ่นลูกหลาน ตั้งแต่ปฐมกาลก่อกำเนิดจักรวาล ยุคแห่งการสร้างสรรค์สิ่งทั้งปวง เทพผู้สร้างนั้นสถิตอยู่บนแดนฟ้า เป็นผู้ดลบันดาล ก่อกำเนิดผืนแผ่นดิน ภูผา ป่าไม้ ทะเลสาบ แม่น้ำ และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ตลอดจนมนุษย์และเทพผู้รังสรรค์สิ่งนั้น ๆ ท่านก็เฝ้ามองลงมาดูอยู่ทุกคืนวัน
มองดู และให้ความคุ้มครองตลอดมา และนำพาพวกชาวเผ่าให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุเภทภัยมาหลายยุคหลายสมัย รอดมาได้แม้ในยุคแห่งคนประหลาด คนผู้เหมือนปีศาจและภูตผีผู้มากับเรือจากทะเล มาแย่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละเผ่า เข้าทำร้ายชายหญิงและเด็ก ๆ ขับไล่ออกจากแผ่นดินเดิมที่เคยอยู่ร่มเย็น ผู้คนหลายเผ่าถูกทำร้ายกลบกลืนเสื่อมสูญ
แต่มาเคอจูลามีเทพบนฟ้าช่วยคุ้มครองป้องกันจึงรอดพ้นอยู่ได้
แต่เล่ากันว่าภูตผี วิญญาณร้ายเหล่านั้นมันยังคงสิงอยู่ในดินแดนแห่งความตาย....
ดินแดนอันตราย ดินแดนต้องห้าม เป็นเมืองลับแล ที่ตั้งอยู่ ณ ฟากฟ้าเหนือภูเขา...
“ออกไปดูข้างนอกกันเถอะ”
กิ่งคำปายกระซิบบอกจิงโจ้โมบาย ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ขัด แม้จะเป็นเพียงวิญญาณแต่ความเป็นเพื่อนรักกัน เข้าใจกันยังคงอยู่ นางจิงโจ้เรียกลูกน้อยมาเข้าในกระเป๋าหน้าท้องแล้วตามกิ่งคำปายกับยายทวดออกนอกกระโจม
“นังเหลน เจ้ามองหาแสงสีรุ้งอย่างเมื่อคืนที่รอบกองไฟใหญ่ซิว่ามีไหม ข้ามองไม่เห็น”
เสียงยายทวดกระซิบออกมาจากร่างวอมแบตที่แอบอิงอยู่ ขณะกิ่งคำปายนั่งรวมกลุ่มอยู่กับคนอื่น ๆ เฝ้าดูการเต้นรำหน้ากระโจมที่พัก
“ฮึ....ฟังเรียกเข้าสิ ช่างใกล้เคียงกับจิ้งเหลน ตัวกูอาน่าที่เขาจับมาย่างกินซะเหลือเกินละ” เหลนสาวกระซิบตอบเสียงงอน ๆ แต่ก็ส่งสายตาไปเพ่งมองจ้องดูสิ่งที่ทวดต้องการ
“ไม่มีหรอก หนูมองไม่เห็น หรือว่าเป็นเพราะครั้งนี้ไม่ใช่พิธีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ดูจากลักษณะการเต้น และฟังจากจังหวะดนตรี และเสียงเพลงแล้ว พิธีการคืนนี้คงไม่ใช่พิธีกรรมใหญ่โตอะไรเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมาหรอก การเต้นรำร้องเพลงคืนนี้เป็นการขอบคุณเทพบนฟ้าที่ให้อาหารการกินอิ่มหนำสำราญมากกว่า แสงพลังประหลาดอย่างที่เราเห็นจึงไม่ปรากฏ หรืออาจบางทีมันยังไม่ถึงเวลา อาจต้องคอยถึงค่อนคืนกระมัง”
ว่าแล้วก็อ้าปากหาว จิงโจ้โมบายนั้นกอดลูกน้อยนอนหลับไปแล้ว
“เลยยังไม่รู้ว่าอิ่นอ้อยจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า แต่ข้าได้กลิ่นคุ้นชินอย่างยิ่งมันคงอยู่ไม่ไกลหรอก อาจมีอะไรบางอย่างห่อหุ้มปิดบังมันไว้”
จุดประสงค์ในการมาออสเตรเลียของยายทวด กับตนเองผู้เป็นเหลนสาวแตกต่างกันอยู่แล้ว กิ่งคำปายจึงไม่มีวี่แววทุกข์ร้อนนักกับสิ่งที่ยายทวดพูดถึง เธอมาที่นี่เพราะแม่อยากให้หนีไปไกลห่างจากกลุ่มเพื่อนชาวแก๊งมอเตอร์ไซคทั้งหลายนั่นหรอก หาใช่มาเสาะหาอิ่นอ้อยอย่างเจ้านางคำปลิวผู้เป็นทวดไม่
๐๐๐๐๐๐๐
“เอื้อยนาง”
ยังมีต่อ