ในคมขวาน ๑
กู่พระโกนา สุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด
ศรัทธาที่ไม่เคยเสื่อมสูญ
โดย สาวภูไท
หลังจากอำนาจขอมเสื่อมลงในพุทธศตวรรษที่๑๙ บ้านเมืองในดินแดนแห่งที่ราบสูงถูกทิ้งร้าง เช่นเดียวกับเทวสถานปราสาทหิน อันเป็นสถานที่ที่ปวงชนเคยแวดล้อมก็ถูกทิ้งร้างห่างหาย ผู้คนเหลือน้อยกระจัดกระจายกันอยู่ตามแหล่งทรัพยากรอุดมสมบูรณ์กว่าไร่นากลายเป็นป่าดง
ประมาณสามศตวรรษ วัฒนธรรมล้านช้างที่เคยมีอยู่เป็นบ้างก็ถึงคราไหลบ่าแทรกซอนเข้ามาในแผ่นดินใหญ่แห่งที่ราบสูง เมื่ออาณาจักรล้านช้างเกิดความแยกแตก บ้านเมืองวุ่นวาย โดยเฉพาะในช่วงที่พระครูหลวงยอดแก้วโพนสะเม็ดได้อพยพผู้คนเคลื่อนย้าย หนีจากเวียงจันทน์ประมาณทศวรรษที่๒๒๒๐ มุ่งหน้าลงใต้ตามลำน้ำโขงสู่ดินแดนเขมร เพื่อเสาะหาทำเลใหม่เป็นที่สำหรับลงหลักปักเสา สร้างชุมชนร่มเย็นเป็นปึกแผ่นให้แก่ลูกหลานญาติโยม ที่ติดตามมาด้วยความศรัทธามากมาย เพื่อความหวังใหม่ที่มีอิสระและเสรี จนถึงนครจำปากะนาคะบุรีศรี(จำปาศักดิ์)ซึ่งช่วงนั้นมีเพียงกษัตรีย์(นางเพา นางแพง)ปกครองดูแลอยู่ พระนางพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ราษฎรในเมืองก็มีศรัทธาเลื่อมใสในพระครูยิ่งนัก จึงพากันนิมนตร์ให้หยุดพัก และพร้อมใจกันยกให้พระครูผู้อยู่ในสมณะเพศขึ้นครองเมืองจำปากะนาคะบุรีศรี ท่านพระครูจึงได้ให้ขบวนไปอัญเชิญเจ้าองค์หล่อ ผู้เป็นหน่อเนื้อเชื้อแนวพระเจ้าล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ก่อน ที่ท่านได้ช่วยเหลือหนีภัยจากเหตุการณ์แย่งชิงราชสมบัติพร้อมด้วยพระมารดา แต่ให้ซ่อนตัวอยู่ที่หมู่บ้านลับแห่งหนึ่งใกล้ภูสะง้อหอคำบ้านพันลำโสมสนุก(แถบหนองคาย บึงกาฬฝั่งขวา และปากซันฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง) ให้มารับตำแหน่งแทน เมื่อผ่านพิธีอภิเษกตามจารีตล้านช้างแล้วเจ้าองค์หล่อได้เป็นกษัตริย์แห่งจำปาศักดิ์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร”
จำปาศักดิ์ยุคใหม่มีผู้คน พลเมือง หลากหลาย ทั้งกลุ่มชาวลาวที่มาใหม่รวมกับชาวพื้นเมืองเดิมแล้วกลายเป็นเมืองใหญ่ เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้ปรับปรุงสร้างบ้านแปงเมืองเป็นการใหญ่ และขยายราชอาณาเขตออกไปครอบคลุมสองฝั่งแม่น้ำโขง ตลอดแม่น้ำมูลและสาขา ได้ส่งคนดีมีฝีมือพร้อมไพร่พลและครอบครัวตลอดครูบาอาจารย์ผู้สืบทอดศาสนาออกไปตั้งบ้านเมืองใหม่ ๆ ขึ้นอีกหลายเมือง
ปีพ.ศ. ๒๒๕๖ นักสำรวจเสาะหาพื้นดินแหล่งเหมาะสมสำหรับตั้งบ้านเมืองจากจำปาศักดิ์กลับไปทูลพระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรว่า ได้เดินทางตามลำน้ำโขง ลำน้ำมูลและสาขา ขึ้นสู่ที่ราบสูงดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ที่เคยมีผู้คนเข้าจับจองถากถางสร้างบ้านสร้างเมืองมาก่อน แต่ถูกทิ้งไว้รกร้าง และบางแห่งก็เป็นที่งาม ๆ หลายแห่งเหมาะจะตั้งบ้านเมืองให้รุ่งเรือง เป็นที่สืบหน่อเผ่าพันธุ์ลูกหลานว่านเครืออยู่เย็นเป็นสุขสืบไป พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรจึงได้มอบให้จาน(อาจารย์)แก้ว(เจ้าแก้วมงคล)พาผู้คน ครอบครัวประมาณ ๓,๐๐๐ คนอพยพมาตั้งบ้านเมืองอยู่ทุ่งใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ ชายขอบทุ่งกุลาร้องไห้ ลงมือถากถางบุกเบิกทำไร่ไถนาสร้างบ้านแปงเมืองและเรียกชื่อว่า เมืองท่ง(ทุ่ง)
เมืองท่งตั้งอยู่ในที่อุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในป่าไม้ใหญ่ ใช้สร้างบ้านสร้างศาลา มีสัตว์ป่า พืชผลเลี้ยงผู้คนจนบ้านเมืองขยายใหญ่ขึ้น ลูกหลานหลายรุ่นสืบทอดมาหลายชั่วคน และแบ่งออกไปหลายบ้าน หลายเมือง จนเหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนผัน เมืองท่งได้เข้าอยู่ในขอบขัณฑสีมาของกรุงศรีอยุธยาเมืองใหญ่แห่งอาณาจักรทางฝ่ายใต้ เมืองท่งได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็นเมืองสุวรรณภูมิ พัฒนาการ เปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัย จนเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน
สุวรรณภูมิพัฒนาปรับตัวเข้าสู่การปกครองของอาณาจักรสยาม และประเทศไทยต่อมาเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานเปลี่ยนแปลง ผันแปรไปตามยุคสมัยเช่นกับบ้านเมืองอื่น ๆ ในอีสานและประเทศไทย
ทุ่งใหญ่ในเขตสุวรรณภูมิและใกล้เคียงเป็นเขตชายขอบทุ่งกุลาร้องไห้ที่กว้างใหญ่ไพศาล เป็นชายขอบที่ยังมีป่าดงพงไม้และสายน้ำหล่อเลี้ยงผืนดิน แม้สายน้ำจะขาดเขินแห้งขอดไปหลายในช่วงฤดูแล้ง แต่ก็เหมือนพระอาทิตย์ท่านส่องแสงลงมาบ่มเพาะผืนดินให้สุกงอม รอเวลาฝนฟ้ามาเยือนอีกที กลายเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับการฟักฟื้นชีวิต ไม่นานผืนป่า แลไร่นาก็เขียวไสวแต้มสีสันให้หล้าโลกได้แย้มยิ้ม
ชาวบ้านแถบอีสานแต่โบราณมา มีประเพณีการแบ่งเขต แบ่งโซน จัดการผืนดินให้อำนวยประโยชน์แก่ทั้งผู้คน และธรรมชาติเสมอมา เขตวัด เขตป่าช้า ดงปู่ตา ป่าต้องห้าม หนองน้ำสารธารณะถูกแบ่งไว้ด้วยข้อกฎห้ามตามจารีตที่ทุกคนเข้าใจและยอมรับ ถือปฏิบัติมาแต่ปู่สังกะสาย่าสังกะสี
หลายทศวรรษที่ผ่านมา แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รุกล้ำกฎข้อห้ามตามจารีตที่ไม่ได้ตราไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ผืนทุ่ง ไร่ นา ขยายกว้างรุกล้ำผืนป่า เขตศักดิ์สิทธิ์ เขตต้องห้ามหลายแห่งถูกล่วงเกินรุกล้ำ ถนนบางสายตัดผ่านดงป่าช้าขุดไถกระดูกคนตายขึ้นอัดแน่นด้วยยางมะตอยกลายเป็นเนื้อเดียว ความเกรงกลัว หวั่นหวาดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ สิ่งที่เคารพในหัวใจผู้คนถูกป่นเป็นผุยผง ทุกสิ่งทุกอย่างแปรเป็นเงินที่ผันมาเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ โบราณสถานหลายแห่งถูกล่วงล้ำ ศิลปวัตถุล้ำค่าถูกเคลื่อนย้าย มีไม่น้อยที่ถูกขโมยไป และมีไม่น้อยที่ต้องเคลื่อนย้ายไปสู่ศรัทธาความเชื่อใหม่ มีไม่น้อยถูกทางการนำไปเก็บยังแหล่งปลอดภัย
ณ ป่าใหญ่แห่งนี้ เป็นที่ตั้งกู่พระโกนา(กู่-เป็นคำภาษาถิ่นใช้เรียกสิ่งปลูกสร้างรูปทรงสถูป หรือเจดีย์ บางถิ่นเรียกอูบมุง) ห่างจากอำเภอสุวรรณภูมิเพียง ๑๒ กิโลเมตร เป็นป่าพงดงกว้างที่ไม่มีใครกล้ากล้ำกลายเพราะถือเป็นที่ที่มีเจ้าของ ตามครรลองจารีต ความเชื่อของชาวบ้านชาวเมืองแต่เดิมมา จะให้ความเคารพยำเกรงสถานที่ ที่ถือว่ามีเจ้าของครอบครองเสมอ แม้เจ้าของนั้นจะไม่มีตัวตน หรืออาจเป็นเพียงผู้ที่เคยมีในตำนาน เล่าขาน สืบทอดกันมา ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานไปแล้วก็ตาม
กู่พระโกนาปราสาทหินยุคขอมเรืองอำนาจที่ถูกทิ้งร้างมาหลายศตวรรษจึงยังคงอยู่ แม้จะผุพังไปตามกาลเวลาก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้ ดงใหญ่แห่งนี้จึงยังมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใหญ่สูงสล้างโดยเฉพาะยางนาและไม้อื่น ๆ ของป่าเบญจพรรณอันเป็นป่าทั่วไปในพื้นถิ่น ปล่อยให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานา
ประมาณกลางทศวรรษที่ ๒๔๐๐ หนุ่มชาวสุวรรณคนหนึ่ง ชื่อ ชม จันทร์หนองสรวง (ต่อมาคือ หลวงปู่ชม ฐานะธัมโม)ประกอบอาชีพทำนา ทำสวน เช่นกับชาวบ้านทั่วไป ทุก ๆ ปีครั้นเสร็จจากฤดูทำนาก็รวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนหนึ่งเดินทางออกไปค้าขาย วัว-ควาย เรียกว่า “นายฮ้อย” โดยซื้อขายวัว-ควายจากท้องถิ่นใกล้เคียงแล้วไล่ต้อนไปขายตามแนวชายแดนเขมรแถบจังหวัดสุรินทร์-ช่องจอม จนมีสร้างฐานะทางครอบครัวมั่นคงแล้วก็ขอลาบวชด้วยศรัทธาทางศาสนา สะสมบุญบารมีหลังจากที่สะสมสมบัตินอกกายมาจนอิ่มพอแล้ว
จำพรรษา ณ วัดกลางได้หนึ่งพรรษาแล้วพระภิกษุชมก็ออกธุดงค์วิปัสสนากรรมฐานแสวงบำเพ็ญเพียรตามแนวชายขอบอีสานใต้ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศีรสะเกษ อุบลราชธานี และในเขมรเขมร ศึกษากับอาจารย์ทางด้านวิปัสสนาหลายท่านเป็นเวลาหลายพรรษาจึงย้อนกลับมายังสุวรรณภูมิ ผ่านมาทางดงกู่ ซึ่งปกคลุมไปด้วยแมกไม้รกครึ้มวังเวง
กลางดงแห่งนี้เป็นที่ตั้งของปราสาทหินเก่าแก่ ๓ องค์ที่ชาวบ้านเรียกว่า “กู่พระโกนา”ฝูงลิงเข้าอาศัยอยู่คลาคล่ำจนบางคนเรียกว่า “กู่ลิง” และเรียกชื่อดงนี้ว่า “ดงกู่ลิง” พระภิกษุชม จึงปักกรด ณ บริเวณใกล้เคียงกลางดงใหญ่แห่งนี้ที่ชาวบ้านร้านถิ่นทั้งหลายไม่เคยย่างกรายเข้ามา เชื่อกันว่าในกู่ หรือปราสาทหินมีผีดุ มักทำร้ายผู้บังอาจรุกล้ำเข้าไปภายใน แต่ด้วยบารมี ของพระภิกษุชมที่พำนักอยู่ได้ชาวบ้านจึงเกิดศรัทธาบุกป่าฝ่าดงเข้ามาหา ขอพึ่งบารมี และทำบุญด้วยที่สุดก็มีการสร้างวัดขึ้น ชื่อวัดกู่พระโกนาตามชื่อสถานที่เดิม
ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ วัดขยายใหญ่ขึ้นปรางค์ ๓ องค์ที่มีจึงถูกปรับเปลี่ยน สร้าง เสริมขึ้นใหม่ตามความคิด และศรัทธาของชาวบ้าน
ปรางค์อิฐ ๓ องค์บนฐานศิลาทรายหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบและซุ้มประตูตามแบบศิลปะขอมสมัยปาปวน(พ.ศ.๑๕๖๐-๑๖๓๐)จึงมีรูปร่างแบบผสมผสานขึ้นมา ปรางค์องค์กลางถูกฉาบปูนทับและก่อเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป แต่ละชั้นมีซุ้มประตูทั้ง ๔ ทิศ ด้านหน้าสร้างเป็นวิหารพระพุทธบาท และนำเศียรนาคของเดิมประดับไว้ด้านหน้า ปรางค์อีก ๒ องค์แม้ไม่ได้สร้างใหม่อย่างองค์กลางแต่ก็ได้รับการบูรณะปรับเปลี่ยนเช่นกัน รูปเคารพ ภาพสลัก ตามคติความเชื่อเดิมคือฮินดูพราหมณ์ถูกนำไปใช้ที่เดิมเช่นทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ ภาพนารายณ์ทรงครุฑ ส่วนหน้าบันภาพพระนารายณ์วางไว้ด้านในวิหาร และที่หักพังไม่สมบูรณ์ก็วางไว้ที่พื้นซึ่งมีอยู่ไม่น้อย แสดงให้เห็นว่าในอดีตสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญต่อผู้คนมากมายเพียงใด และแม้ปัจจุบันจะได้ถูกปรับเปลี่ยนไปด้วยความไม่เข้าใจทางหลักวิชาการแต่ความสำคัญ ความศรัทธาต่อสถานที่นี้ยังคงอยู่สืบเนื่องตลอดไป
*หลวงปู่ชม ฐานะธัมโม ละสังขารเมื่อปี ๒๔๙๖ (อายุ ๖๙ ปี พรรษา ๓๕)ยังเป็นที่เคารพนับถือในใจของผู้คนแถบถิ่นนี้ไม่เสื่อมสูญ
๐๐๐๐๐