ฟ้อนต้อนรับ ศิลปะที่พัฒนาไปจากเดิม
โดยธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
ตอนเด็กต้องเรียนวิชาการขับร้อง เล่นดุริยางคดนตรี และมีการฟ้อนรำตามแบบอย่างนาฎศิลป์ อันเป็นศิลปะการชั้นสูงของไทยมาแต่โบราณ ส่วนจะลอกเลียนมาจากลัทธิใด ประเทศใด นั้นไม่ได้สืบสาวราวเรื่องมากนัก แต่ก็เรียนพอเป็นพิธีในระดับมัธยมศึกษา หลังจากนั้นก็เน้นวิชาการที่แยกจำแนกออกไปอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนคนที่สนใจใฝ่เรียนก็หันเหไปเรียนโรงเรียนนาฎศิลป์อย่างจริงจัง และนั่นคือต้นแบบที่อนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมทางศิลป์ของไทยไว้ได้สืบไป
การฟ้อนรำต้องประกอบด้วย การขับร้อง ศิลปะทางดุริยางคดนตรี และศิลปะแห่งการฟ้อนรำ หรือนาฎศิลป์ การเรียนการสอนของแต่ละหลักวิชาทั้งสามเข้มขลัง จริงจัง เอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว ครูมักจะสอนไปดุไป หวดด้วยไม้เรียวดังควับๆๆ ด้วยว่าการฟ้อนรำนั้นต้องเน้นย้ำด้วยจังหวะ การยักย้ายส่ายองค์เอวที่เข้ารูปกับเนื้อหาของดนตรี
ลีลานั้นก็ประกอบไปด้วยการเคลื่อนไหวของมือเท้า เอว คอ เช่นท่าสอดสร้อยมาลา พิสมัยเรียงหมอน แขกเต้าเข้ารังนกยูง กวางเดินดง อะไรทำนองนั้น ทั้งท่าทางจากมนุษย์ จากสัตว์ป่า หรือจากนกหนูที่เห็นแปลก นอกจากการฟ้อนรำยามเต้นต้องเข้าจังหวะและทำนองเพลงแล้ว ยังต้องประกอบด้วยเข้มแข็ง นุ่มนวลยวนละไม หรือหวานแหววขณะเข้าพระเข้านาง
ในปัจจุบันนี้ การต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองนิยมใช้ศิลปะการฟ้อนรำไปจับยามตามทำนอง เพื่อให้เกิดความสุขสนุกสนานอลังการงานการต้อนรับ ทำให้ผู้ที่ถูกต้อนรับมีความรู้สึกเร้าอารมณ์ เบิกบาน สนุกสนาน และเกิดความรู้สึก "พองพอง" เสมือนว่ามีเกียรติยศล้นเหลือ มีความงดงามตามเพลง และเมื่อนำภาพเหล่านั้นกลับบ้านเกิดเปิดอวดกัน ยิ่งได้รบความนิยมชมชื่น
อยากเดินทางมาให้ได้รับการต้อนรับทำนองเดียวกันบ้าง เพราะว่ามันช่างดูยิ่งใหญ่เหลือคณนา ฝรั่งมั่งค่าแทบอดกลั้นความปรีเปรมด์เกษมสันติ์ อย่างออกหน้าออกตามิได้ ช่วยเพิ่มพลังการสรรค์สร้างและการท่องเที่ยวได้อย่างใหญ่หลวง และนี่คือต้นเรื่องที่ขึ้นหัวว่า ฟ้อนต้อนรับ ศิลปะที่พัฒนาไปจากเดิม
ส่วนใหญ่จะใช้ความเชื่องช้า หวานแหว และอ่อนช้อยอ้อยอิ่ง จนจวนเจียนน้ำตาลจะหยด ลีลาการฟ้อนรำตามแบบอย่างศิลปะไทยดั้งเดิม และในอีกลักษณะหนึ่งก็เร่งเร้าเข้าทำนองสนุกสนาน เช่นกลองยาวหลากสีสัน เสียงโจ๊ะพรึ่มพรึมของกลองยาวนั้น เร่งความดันโลหิตให้ไหลเวียนได้อย่างน่าอัศจรรย์นัก อารมณ์สุนทรีเกิด