ต้นข้าวแย้มยิ้มที่มิวเซียมสยาม
“พอแพง”
ฝนที่ตกลงมาทั้งคืนเพิ่งขาดเม็ดเมื่อเสียงไก่บอกเวลารุ่งสาง ฉันลุกไปแง้มหน้าต่างต้อนรับอากาศสดชื่นซึ่งยังคงมีละอองไอให้สัมผัสได้ เสียงกบและเขียดในอ่างบัวที่เรียงรายอยู่หน้าบ้านดังขึ้นระงม ปลุกเจ้านกบนกิ่งกระท้อนให้ออกมาส่งเสียงอรุณสวัสดิ์ผสมผสานด้วยกัน พวกมันก็คงสัมผัสได้ในความสดชื่นของอากาศหลังฝนของเมืองกรุงเทพมหานครยามนี้เช่นกัน สายฝนที่กระหน่ำถั่งเทลงมาได้ชะล้างเอาคราบฝุ่นละอองที่เนืองนองปะปนในบรรยากาศห่อหุ้มกรุงเทพให้เบาบางลง และอากาศก็สดชื่นขึ้นมาแทน
ประชากรหลายคนของเมืองกรุงอาจจะบ่นว่าให้สายฝนที่ไหลหลั่งลงมารบกวน แต่คนบ้านนอกมาอยู่กรุงอย่างฉันกลับสัมผัสถึงความงามและน้ำใจของสายฝน เช่นเดียวกับเจ้าเขียดน้อยในอ่างบัว และเจ้านกบนกิ่งกระท้อนหน้าบ้าน
เพราะสายฝนมีความหมายนักหนากับประชากรจากที่ราบสูงอย่างฉัน โดยเฉพาะในฤดูทำนาที่เราเพาะต้นกล้าขึ้นมารอคอยสายฝน เราจึงรักและเรียกหาสายฝนเสมอ ผิดกับคนกรุงที่เพียงมองเห็นเมฆตั้งเค้าก็บ่นออดแอดกระปอดกระแปดไปแล้วเพราะกลัวฝนตก
กลัวฝนตก กลัวแดดออก กลัวการสัมผัสกับธรรมชาติจนจะพากันเป็นกบในกะลาครอบไปหมดแล้ว เด็ก ๆ จะเรียนรู้เรื่องสัตว์สักตัวก็ต้องท่องจำเป็นการบ้านปากเปียกปากแฉะ อย่างเช่นว่าวัวมีสี่ขา ม้าไม่มีเขานะ ไก่นั้นเป็นสัตว์ปีก...จำไว้นะหนู ต้นข้าวนั้นเป็นพืชตระกูลหญ้า ... เด็ก ๆ ก็ท่องพลางกังขา ข้าวกับหญ้ามันไม่น่าเป็นพืชตระกูลเดียวกัน เพราะต้นข้าวเป็นเช่นไรไม่รู้จัก
“ข้าวสวยในจานเนี่ยนะ ที่เคยมีเปลือกหุ้ม เป็นไปได้อย่างไร”
“สอนเท่าไหร่ไม่เคยจำ” คุณครูบ่น และคิดวางโครงการของบประมาณมาซื้อต้นข้าวเทียมจากญี่ปุ่นมาเป็นอุปกรณ์การสอน เพราะสงสารเด็กจะได้สัมผัสต้นข้าวแบบใกล้ความจริงเสียที แต่เอ๊ะ...น่าจะเป็นของจากจีนมากกว่า เพราะจีนเขาเก่งราคาก็จะถูกกว่าด้วยช่วยประหยัดงบของชาติได้มากกว่า
“แต่วันนี้ โชคดีของเด็ก ๆ ชาวกรุง ที่ต้นข้าวมาแย้มยิ้มพริ้มเพราอยู่กลางกรุงให้ได้เห็นกับตา และสัมผัสด้วยใจ”
ใช่แล้ว....ต้นข้าวแย้มยิ้มที่มิวเซียมสยาม
มิวเชี่ยมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้อยู่บนถนนสนามไชยในบริเวณอาคารที่เป็นกระทรวงพาณิชย์เก่า กรุงเทพมหานครนี่เอง อยู่ในการดูแลของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เป็นแหล่งการเรียนรู้หนึ่งที่เน้นจุดมุ่งหมายการแสดงตัวตนของชนในชาติไทย เหมาะอย่างยิ่งจะให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ถึงรากเหง้าของไทยอยู่แล้ว และในช่วงฤดูทำนาปีนี้ทางมิวเซียมสยามร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์ได้จัดแสดงนิทรรศการ “Know-How ชาวนานักค้นคว้าแห่งท้องทุ่ง”ขึ้นกลางลานที่เคยเป็นสนามหญ้าหน้าพิพิธภัณฑ์นั่นเอง เป็นการแสดงถึงวิถีชีวิตชาวนาไทย การทำนาข้าว มีการปลูกข้าว และจัดแสดงเครื่องมือ เครื่องใช้ ขั้นตอนการทำนา ตั้งแต่เมล็ดข้าวเปลือกถูกหว่านลงในดินรอเวลาต้นข้าวเติบใหญ่ ออกดอก ผลิรวง ผลิตเมล็ดข้าว รวมถึงการพิธีกรรมในการทำนาซึ่งมีตารางบอกไว้เป็นระยะตั้งแต่วันเริ่มงาน วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๒๕ กันยายน
ช่วงนี้กลางเดือนสิงหาคมข้าวกำลังแย้มยิ้มผลิรวงสวยงามเชียว แม้ว่าหุ่นไล่กา และกองฟางถูกฝนชะจนคออ่อนคอพับไปบ้าง แต่หลายอย่างที่อยู่ในส่วนนิทรรศการยังคงมีชีวิต อย่างเช่น กระท่อมกลางนาหลังน่ารักที่วันนั้นมีใครบางคู่ไปจับจองนั่งดื่มด่ำบรรยากาศท่ามกลางต้นข้าวจนใครๆ อีกหลายคนขาดโอกาสจะเข้าไปสัมผัสบ้าง ส่วนระหัดวิดน้ำเข้านาแบบใช้แรงขาปั่นนั้นเป็นที่ฮิตที่สุดที่เยาวชนทั้งไทยและเทศเข้าไปทดลองปั่นเอาน้ำจากหนองน้ำเล็ก ๆ ให้ไหลผ่านไปตามรางสู่แปลงนา หลายคนสนุกจนเกรงว่าน้ำในหนองจะแห้งไปแหละค่ะ
ไปดูกันหรือยังละคะ อย่าลืมว่าต้นข้าวในนาเติบโตขึ้นทุกวันนะคะ ประเดี๋ยวเขาก็จะมีการเก็บเกี่ยวกันแล้ว ตามกำหนดการเขาจะลงแขกเกี่ยวข้าวในวันที่ ๒๔ สิงหาคม จากนั้นก็วันที่ ๑๑ กันยายน นวดข้าว ตีข้าว ๑๗ กันยายนทำบุญข้าวใหม่ ๒๔-๒๕กันยายน ตำข้าว สีข้าว ผู้เขียนเองก็ยังไม่รู้เลยว่าในวันดังกล่าวจะมีโอกาสไปเก็บบรรยากาศมาให้อ่านกันไหม
ยังงั้นก็ไปดูเองนะคะ คุณครูพาเด็ก ๆ ไปจะยิ่งดี เด็ก ๆ จะได้ศึกษาหาความรู้ภายในตัวพิพิธภัณฑ์ด้วย อ่านรายละเอียดอีกทีจากเว็บไซค์ของมิวเซียมโดยตรงนะคะ
๐๐๐๐๐