http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 07/08/2024
สถิติผู้เข้าชม14,276,801
Page Views16,603,420
« September 2024»
SMTWTFS
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930     
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

วรรณกรรมเยาวชน กิ่งคำปายกับยายทวด โดยเอื้อยนาง ตอน๑๗.จากดรีมไทม์ ถึง ลมพัดพร้าว “ถึงแล้วหละ”

วรรณกรรมเยาวชน กิ่งคำปายกับยายทวด โดยเอื้อยนาง ตอน๑๗.จากดรีมไทม์ ถึง ลมพัดพร้าว “ถึงแล้วหละ”

วรรณกรรมเยาวชนดีเด่น

กิ่งคำปายกับยายทวด

โดยเอื้อยนาง

ตอน๑๗.จากดรีมไทม์ ถึง ลมพัดพร้าว “ถึงแล้วหละ”

 

              มีใครบางคนกระซิบบอก โรบินสันไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงใคร มาถึงตอนนี้เขายอมรับแล้วว่าแม้นางจิงโจ้แม่ลูกอ่อน หรือเจ้าวอมแบตตัวกลม ๆ ตัวนั้นก็อาจพูดออกมาได้เป็นภาษาคน และหากว่าต้นไม้ที่เห็นไหว ๆ ในความสลัวรางข้างล่างนั้นร้องเพลงออกมาอีก เขาก็คงไม่แปลกใจแล้ว

            ....ธรรมชาติล้วนมีบทเพลง

ผืนแพรพามาจอดสนิทบนพื้นหินเย็น ๆ บนยอดดอยเหนือหน้าผาสูง แล้วมันก็หายวับไป เขาได้แต่ค่อย ๆ  ตั้งสติ หันมองรอบข้าง ในความอ่อนโยนของสายลมท่ามกลางขุนเขา ท้องฟ้าโปร่งโล่งมีหมู่ดาวกระพริบพราวแข่งแสงจันทร์ดวงเว้าที่ลอยเลื่อนขึ้นมาเหนือภูเขา

            แสงสีนวลจางแห่งพระจันทร์ข้างแรมอ่อน ๆ ฉายส่องไปทั่วหล้า โรบินสันเห็นตัวเองยืนอยู่บนลานหินเกลี้ยงเกลาบนหน้าผาสูง ยอดไม้ที่อยู่ต่ำลงไปสะท้อนแสงจันทร์วิบไหว

            มือของเด็กสาวชาวไทยที่ยังคงเกาะกุมค่อยคลายออก มีเพียงสายลมเย็นสัมผัสผิวแผ่วพลิ้ว กับกลิ่นดอกไม้หอมกรุ่นละมุน สองวัยรุ่นชาวเผ่าชี้มือสู่ฟ้าเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้น

           “นั่นไงดินแดนแห่งดรีมไทม์”

           มามิริตื่นเต้นจนระงับใจไว้ไม่อยู่ เด็กสาวหันมาหาโรบินสัน โอบกอดและเขย่าตัวเขาชี้ชวนให้ดูอย่างลืมตัว

           “ดินแดนแห่งดรีมไทม์หรือ”

           เขาได้แต่ครางในลำคอเหมือนคนละเมอ เหม่อมองขอบฟ้าเบื้องล่างที่ไกลโพ้น ดินแดนแห่งดรีมไทม์ของมามิริคือกระจุกดาวที่เรียงร้อยอยู่ที่ปลายฟากฟ้า ต่ำลงไปด้านโน้นท้องฟ้ามีแสงเรื่อเรืองสะกดให้สายตาทุกคู่ และดวงใจทุกดวง ณ ที่นั้นหยุดนิ่งเหม่อมอง ราวกับต้องมนต์ขลัง มีแต่ลมหายใจเท่านั้นที่ดังผะแผ่วในความเงียบงันแห่งราตรีกาล

            ดวงดาวที่เห็นบนฟ้าสูงว่าพริบพรายมากมายรายเรียงแล้ว แต่ที่ฟากฟ้าโน้น ต่ำลงไป ไกลแสนไกลออกไปจากลานหินเหนือหน้าผาสูงที่กำลังยืนกันอยู่นั้น    กลับมีดวงดาวร้อยดวง พันดวง หรือเป็นหมื่น ๆ นับไม่ถ้วน ต่างทอดทอแสงแข่งกันกะพริบพราว จนฟ้าเบื้องนั้นกลายเป็นสีดั่งทองรองเรือง

            ดวงดาวเหล่านั้นเหมือนชวนกันมาชุมนุม มารวมกลุ่มประชุมพร้อมพรั่ง

บ้างเข้าแถวเรียงร้อยเป็นเส้นสาย  มีระเบียบเป็นแถวแนว  บางแถวตรงแหนวสู่ฟากฟ้า บางแถวกลับคดโค้งโอบเป็นวง

            มีบางดวงสีแดงสุกปลั่งดั่งดวงไฟ

            มีบางดวงกะพริบไล่กันตามถั่นแถว สุดปลายแล้วกะพริบพรายไล่ตามกันกลับมาอีกที

            มีบ้างบางดวงที่หนีไปอยู่ไกลเพื่อนเหมือนคนผู้สันโดษ พอใจจะกะพริบวิบ ๆ อยู่เดียวดาย

           “นั่นแหละคือที่ที่เหล่าเทพผู้สร้าง สถิตอยู่”

            ตัมบูทำลายความเงียบขึ้น เขาก้าวขาออกไปยืนที่ริมหน้าผาเพียงเดียวดาย เหมือนอยากเข้าใกล้ดินแดนแห่งนั้นให้มากที่สุด ร่างสีน้ำตาลเข้มที่แทบเปล่าเปลือยยืดตรงดูงดงามกลมกลึงราวกับรูปสลักจากหิน สายลมโบกพัดปลายผมที่ยาวเคลียไหล่สะบัดพลิ้ว

            “ใช่ เทพผู้สร้างเป็นผู้สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง”

            มามิริเสริมด้วยน้ำเสียงแห่งศรัทธาเปี่ยมล้น พลางนั่งลงทำปากขมุบขมิบ  เปล่งเสียงเหมือนละเมอ  เล่าเรื่องราวเสียงผ่วเบา ทำให้โรบินสัน และกิ่งคำปายพลอยนั่งด้วย รวมทั้งจิงโจ้แม่ลูกอ่อนต่างนั่งลงฟังเธอเล่าถึงดินแดนแห่งดรีมไทม์ไปด้วย เจ้าคำปลิวในร่างวอมแบตเท่านั้นที่เดิน ๆ ดม ๆ เหมือนนักสำรวจตรวจตราไปรอบ ๆ ลานหิน

            “ผู้เฒ่าผู้แก่ของเราเล่าว่าในครั้งบรรพกาลนานโพ้น พื้นโลกนั้นราบเรียบ และว่างเปล่า หม่นมัว ไม่มีภูเขาไม่มีแม่น้ำ ไม่มีพืชสัตว์ ไม่มีแม้แสงตะวันและดวงดาว ต่อมาในยุคแห่งดรีมไทม์ทุกสิ่งจึงถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเทพผู้สร้างทั้งหลาย แม้แต่ปู่ฟ้าบรรพบุรุษของเราก็ถูกสร้างขึ้นในยุคนั้น ที่นั่น  ดินแดนที่มีหมู่ดาวเรียงรายอยู่นั้น ไม่เคยมีใครในเผ่าที่ขึ้นมาเห็นหรอกนอกจากข้าและตัมบู”

             ร่างที่นิ่งเป็นรูปสลักของตัมบูค่อย ๆ หันมาและเล่าเสริมเด็กสาวผู้เป็นทั้งลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนรักของเขาว่า

             “ใช่แล้ว ณ ที่แห่งนี้ บนยอดเขานี้เป็นถิ่นต้องห้ามของชาวเผ่ามาเคอจูลาของเรา  ป่าไม้รอบภูเขาถือเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์  รวมทั้งผาหิน  และถ้ำที่มีอยู่ด้วย  ถ้ามีคนรู้ว่าเราบุกเข้ามาเราจะต้องได้รับโทษอย่างใหญ่หลวงทีเดียว”

             “แล้วเธอสองคนขึ้นมาพบเห็นที่นี่ได้อย่างไร” กิ่งคำปายเอ่ยถาม

             “เพราะเราชอบท่องไปในที่ห่างไกลบ่อย ๆ ในยามออกหาอาหารกับแม่ และพี่ป้า น้า อา ทั้งหลายของเรานั่นแหละ เรามักหลบเข้าป่าลึก ๆ บางครั้งเราติดตามสัตว์พวกวอลล่าบี  จิงโจ้  พอสส่อม  หรือนกอีมูเข้ามา และตัมบูนั่นแหละเขาปีนหน้าผาทางด้านโน้นขึ้นมาเพื่อหาไข่นก เราจึงได้พบที่แสนสวยแห่งนี้ ในยามกลางวันเราจะเห็นมีบางอย่างเปล่งสีสันวับแวมอยู่ใต้สีเขียวของป่าไม้ แทนแสงแห่งดวงดาวที่วับแวมแซมฟ้าอยู่นั้น”

            “จริงหรือ” โรบินสันถามขึ้นทันควัน

            “ใช่มันสวยงามน่าดูมากเลยแหละ”

            “งั้นเรามาดูอีกทีในช่วงกลางวันกันได้ไหม”

            โรบินสันคิดว่าเขาน่าจะหาทางลงไปจากภูเขานี้ และเดินไปถึงที่นั่นได้ เมื่อเพ่งพิศดวงดาวที่เรียงรายอยู่วิบวิบนั้นแล้วเขาเกิดความอยากรู้ ว่าหมู่ดาวในดินแดนแห่งดรีมไทม์ของ

             มามิริคืออะไรกันแน่  จะต้องเป็นสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง และอาจเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีมนุษย์ในโลกที่เขาจากมาก็ได้  หากว่าในเวลากลางวันมันมีบางสิ่งสะท้อนแสงออกมาให้เห็นดังว่า  เขาคาดเดาว่ามันก็อาจเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างโรงงาน  อาคารบ้านเรือนของเมือง  หรือหมู่บ้านชาวนา ชาวเหมือง ชาวประมงก็ได้ ความหวังที่จะได้กลับสู่โลกภายนอกมีประกายแวมขึ้นมาในจิตใจของหนุ่มฝรั่งหน้าแขกทันที

             “คงต้องดูก่อน”

              สองหนุ่มสาวไม่แน่ใจนักว่าจะพาแขกของเผ่าหลบสายตาใครต่อใครออกมาได้ไหม

            “แล้วตอนนี้ล่ะเราขึ้นมาถึงนี่ได้ เพราะมีบางอย่างพาเรามา ผืนผ้าแพรที่รองรับเราลอยล่องมานั้นหายไปไหนแล้ว”

            โรบินสันเพิ่งนึกได้ มามิริมองตัมบู เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า    แล้วทุกคนก็มามองกิ่งคำปายเด็กสาวชาวไทยที่แกล้งเหม่อมองท้องฟ้าแล้วทำท่าอ้าปากหาว   ราวกับไม่ได้ยินคำพูด  ที่แสดงข้อสงสัยของใคร ๆ   แต่เพื่อนของเธอนางจิงโจ้แม่ลูกอ่อนกลับอดไว้ไม่ได้   นางส่งเสียงแหลมสูงช่วยตอบคำถามด้วยความภาคภูมิใจขึ้นว่า

          “ก็ยายทวดไงพามา”

          “ยายทวดหรือ ยายทวดที่ไหนล่ะ”

           โรบินสันโผกอดนางจิงโจ้แม่ลูก แล้วละล่ำละลักถาม รู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนิ่มจนลืมตัวกอดแน่นเข้า จนลูกน้อยในกระเป๋าหน้าท้องของโมบายทำเสียงออดแอดอย่างอึดอัดเขาจึงได้คลายอ้อมกอด

           “เรื่องมันยาวค่ะโรบินสัน”

           เสียงราบเนินนาบของกิ่งคำปายเพื่อนร่วมชะตากรรมคนเดียวของเขาดังขึ้น   ราวกับเป็นผู้ใหญ่พูดกับเด็กไร้เดียงสากระนั้น

            “มันยากที่คุณจะเชื่อว่ายายทวดของฉัน เจ้านางคำปลิวแห่งนครจำปาศักดิ์ก็มากับเราด้วย และอยู่กับเราตลอกเวลา”  หยุดจ้องมองหน้าเขานิดหนึ่งก่อนเน้นคำหนักแน่นว่า   “แต่คุณต้องเชื่อนะคะโรบินสันว่ายายทวดของฉันตอนนี้อยู่ในร่างวอมแบตน้อย และนางจิงโจ้นี้คือเพื่อนของฉันชื่อโมบาย.....”

            กิ่งคำปายพูดมาถึงตรงนี้ทำให้ทุกคนมองหาเจ้าวอมแบตจอมซน ซึ่งเคยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่ก็นอนอุตุในอ้อมกอดของเธอ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว

            “อ้าวแล้ววอมแบตอยู่ที่ไหนน่ะ”

            หนุ่มน้อยตัมบูได้สติก่อนเพื่อน เขากระโดลุกขึ้น และมองสำรวจหาวอมแบตน้อย แต่สายตาที่เคยแหลมคมของนักติดตามสัตว์ของเขาตอนนี้พบแต่ความว่างเปล่า

            “ยายทวดคะ ไปไหนอีกล่ะนี่”

            กิ่งคำปายทิ้งความสงสัยให้อยู่ในสีหน้า ปากอ้า ตาค้างของโรบินสัน  กระโดดลุกขึ้นป้องปากเรียกหาพลางกุมจี้ที่ห้อยคอ  ตลับเงินอันน้อยยังคงปิดสนิท ตั้งแต่ตกจากเครื่องบินลงมา ยายทวดไม่เคยเข้าพำนักในถิ่นเก่าอีกเลย

             “คงไปสำรวจแถบนี้มั้ง อย่าห่วงให้มากนักเลย”

            จิงโจ้โมบายบอกอย่างรำคาญ พลางดึงลูกน้อยออกจากกระเป๋าหน้าท้อง โรบินสันมองอย่างงงงัน แล้วยิ่งงงงันจนกลายเป็นใบ้บื้อเมื่อร่างของลูกน้อยของนางจิงโจ้ตัวนั้น กลายเป็นร่างของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เหมือนตุ๊กตาผมดำ และนางแม่ก็อุ้มประคองด้วยสองขาหน้าที่ทำหน้าที่คล้ายแขนมนุษย์

             เขากะพริบตาถี่ ๆ เมื่อมองเห็นขาหน้าของจิงโจ้โมบายกลายเป็นแขนจริง ๆ มันกอดรัดเอวเอาลูกน้อยเข้าไว้กับอกที่มีนมให้ลูกดูด เป็นนมของหญิงสาวจริงๆ  เหมือนนมของชาวเผ่าทั้งหลายที่ปล่อยเปลือยให้เห็นกันทุกคนนั่นแหละ

            “และนางจิงโจ้ก็คือเพื่อนของฉันค่ะ”

            กิ่งคำปายก้มลงใกล้และบอกย้ำ ทำให้โรบินสันต้องหลับตาลงชั่วครู่ ถอนหายใจยาวลึกเหมือนจะปรับความรูสึกทั้งมวลอยู่ชั่วครู   ครั้นลืมตาขึ้นอีกทีก็เห็นเด็กสาวอีกคนนั่งแทนที่นางจิงโจ้อยู่ เธอผู้นั้นกำลังให้นมลูกโดยเปิดชายเสื้อขึ้นมาให้เห็น   ศีรษะเล็ก ๆ มีผมดำสนิทซุกเข้าไปดูดดื่ม

             “เธอชื่อโมบายหรือ” 

             เขาได้ยินเสียงของตัวเองรอดออกมาจากไรฟัน แต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงตอบของเด็กสาวแม่ลูกอ่อน  ลูกน้อยของเธอก็ละปากออกจากหัวนมแม่  หันหน้าไปด้านข้างพลางร้องขึ้นว่า  “นั่นไงยายทวดกลับมาแล้ว” หันเหความสนใจของเขาออกไป

             ในท่ามกลางแสงสลัวรางนั้น ร่างของหญิงสาวในชุดเครื่องแต่งกายแบบลาวเดิมสีเหลืองนวลส่งประกายรัศมีออกมารอบตัวจนมองเห็นใบหน้าผุดผ่อง ยิ้มย่องอย่างใจดีก็ปรากฏขึ้น สไบแพรไหมสีขาวนวลสะบัดพลิ้วในสายลม

             “นั่นคือยายทวดของคุณจริง ๆ หรือกิ่งคำปาย”

             หนุ่มโรบินสัน พยายามควบคุมตัวเอง และเปล่งเสียงกระซิบถามเบา ๆ เหมือนไม่อยากให้เสียงของตนไปรบกวนทุกคนที่กำลังดื่มด่ำเคลิ้มฝันกับภาพตรงหน้า

             “ใช่ซีค่ะ”

             กิ่งคำปายตอบเสียงเบาพอกัน แต่ยายทวดในร่างหญิงสาวเปล่งเสียงเย็นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนคลื่นในทะเลยามลมสงบออกมาว่า

            “ใช่แล้วโรบินสัน   ถ้าคุณเชื่อว่าอย่างนั้นมันก็คือสิ่งที่คุณเชื่อ   เหมือนดินแดนที่เห็นอยู่ตรงโน้นไง”   พูดพลางร่างงามของเจ้าลาวเดิมก็เยื่องอย่างเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นอ่อน ๆ  ของดอกจำปาลาวผสมการระเกด ทุกคนได้แต่นิ่งงัน แม้แต่กิ่งคำปายผู้คุ้นเคยกับยายทวดกว่าใคร ก็พลอยนิ่งไปด้วย

             “ดินแดนที่ดวงดาวพริบพรายในสายตานั้น มันคือสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันเป็น มามิริกับตัมบู เขาเชื่อว่ามันเป็นอีกภพหนึ่งในช่วงเวลาแห่งดรีมไทม์ มันก็คือภพนั้นในความเชื่อของเขา  มันไม่ห่างกันนักหรอกระหว่างความจริงกับความฝัน   ระหว่างยุคปัจจุบันกับดรีมไทม์    จิงโจ้และวอมแบตก็พูดได้ถ้าคุณเชื่อ”

             จบคำพูดแล้วร่างแสนสวยนั้นก็หายวับไป เหลือแต่วอมแบตน้อยที่หมอบนิ่งเหมือนง่วงงุนเต็มที่

            ท่ามกลางความอ่อนโยนของสายลม มีเสียงเหมือนคนเป่าแคนดังขึ้นแว่ว ๆ แผ่ว ๆ ในตอนแรกแล้วค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น

            เสียงแคนดังเป็นเพลงพลิ้วทำนอง “ลมพัดพร้าว” จังหวะเนิบช้าเหมือนทางมะพร้าวส่ายไหวยามต้องลมอ่อนโอนแกว่งไกว

            ลมเอยพัดออน พัดเอากลิ่นหอมแห่งราตรีกาล

            พัดมาเนิ่นนาน

            ผ่านคืน สู่วัน ผ่านภาพฝัน สู่ห้วงดวงใจ

๐๐๐๐๐๐๐๐

Tags : กิ่งคำปายกับยายทวด

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view