วรรณกรรมเยาวชนดีเด่น
กิ่งคำปายกับยายทวด
โดยเอื้อยนาง
ตอน๑๗.จากดรีมไทม์ ถึง ลมพัดพร้าว “ถึงแล้วหละ”
มีใครบางคนกระซิบบอก โรบินสันไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงใคร มาถึงตอนนี้เขายอมรับแล้วว่าแม้นางจิงโจ้แม่ลูกอ่อน หรือเจ้าวอมแบตตัวกลม ๆ ตัวนั้นก็อาจพูดออกมาได้เป็นภาษาคน และหากว่าต้นไม้ที่เห็นไหว ๆ ในความสลัวรางข้างล่างนั้นร้องเพลงออกมาอีก เขาก็คงไม่แปลกใจแล้ว
....ธรรมชาติล้วนมีบทเพลง
ผืนแพรพามาจอดสนิทบนพื้นหินเย็น ๆ บนยอดดอยเหนือหน้าผาสูง แล้วมันก็หายวับไป เขาได้แต่ค่อย ๆ ตั้งสติ หันมองรอบข้าง ในความอ่อนโยนของสายลมท่ามกลางขุนเขา ท้องฟ้าโปร่งโล่งมีหมู่ดาวกระพริบพราวแข่งแสงจันทร์ดวงเว้าที่ลอยเลื่อนขึ้นมาเหนือภูเขา
แสงสีนวลจางแห่งพระจันทร์ข้างแรมอ่อน ๆ ฉายส่องไปทั่วหล้า โรบินสันเห็นตัวเองยืนอยู่บนลานหินเกลี้ยงเกลาบนหน้าผาสูง ยอดไม้ที่อยู่ต่ำลงไปสะท้อนแสงจันทร์วิบไหว
มือของเด็กสาวชาวไทยที่ยังคงเกาะกุมค่อยคลายออก มีเพียงสายลมเย็นสัมผัสผิวแผ่วพลิ้ว กับกลิ่นดอกไม้หอมกรุ่นละมุน สองวัยรุ่นชาวเผ่าชี้มือสู่ฟ้าเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้น
“นั่นไงดินแดนแห่งดรีมไทม์”
มามิริตื่นเต้นจนระงับใจไว้ไม่อยู่ เด็กสาวหันมาหาโรบินสัน โอบกอดและเขย่าตัวเขาชี้ชวนให้ดูอย่างลืมตัว
“ดินแดนแห่งดรีมไทม์หรือ”
เขาได้แต่ครางในลำคอเหมือนคนละเมอ เหม่อมองขอบฟ้าเบื้องล่างที่ไกลโพ้น ดินแดนแห่งดรีมไทม์ของมามิริคือกระจุกดาวที่เรียงร้อยอยู่ที่ปลายฟากฟ้า ต่ำลงไปด้านโน้นท้องฟ้ามีแสงเรื่อเรืองสะกดให้สายตาทุกคู่ และดวงใจทุกดวง ณ ที่นั้นหยุดนิ่งเหม่อมอง ราวกับต้องมนต์ขลัง มีแต่ลมหายใจเท่านั้นที่ดังผะแผ่วในความเงียบงันแห่งราตรีกาล
ดวงดาวที่เห็นบนฟ้าสูงว่าพริบพรายมากมายรายเรียงแล้ว แต่ที่ฟากฟ้าโน้น ต่ำลงไป ไกลแสนไกลออกไปจากลานหินเหนือหน้าผาสูงที่กำลังยืนกันอยู่นั้น กลับมีดวงดาวร้อยดวง พันดวง หรือเป็นหมื่น ๆ นับไม่ถ้วน ต่างทอดทอแสงแข่งกันกะพริบพราว จนฟ้าเบื้องนั้นกลายเป็นสีดั่งทองรองเรือง
ดวงดาวเหล่านั้นเหมือนชวนกันมาชุมนุม มารวมกลุ่มประชุมพร้อมพรั่ง
บ้างเข้าแถวเรียงร้อยเป็นเส้นสาย มีระเบียบเป็นแถวแนว บางแถวตรงแหนวสู่ฟากฟ้า บางแถวกลับคดโค้งโอบเป็นวง
มีบางดวงสีแดงสุกปลั่งดั่งดวงไฟ
มีบางดวงกะพริบไล่กันตามถั่นแถว สุดปลายแล้วกะพริบพรายไล่ตามกันกลับมาอีกที
มีบ้างบางดวงที่หนีไปอยู่ไกลเพื่อนเหมือนคนผู้สันโดษ พอใจจะกะพริบวิบ ๆ อยู่เดียวดาย
“นั่นแหละคือที่ที่เหล่าเทพผู้สร้าง สถิตอยู่”
ตัมบูทำลายความเงียบขึ้น เขาก้าวขาออกไปยืนที่ริมหน้าผาเพียงเดียวดาย เหมือนอยากเข้าใกล้ดินแดนแห่งนั้นให้มากที่สุด ร่างสีน้ำตาลเข้มที่แทบเปล่าเปลือยยืดตรงดูงดงามกลมกลึงราวกับรูปสลักจากหิน สายลมโบกพัดปลายผมที่ยาวเคลียไหล่สะบัดพลิ้ว
“ใช่ เทพผู้สร้างเป็นผู้สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง”
มามิริเสริมด้วยน้ำเสียงแห่งศรัทธาเปี่ยมล้น พลางนั่งลงทำปากขมุบขมิบ เปล่งเสียงเหมือนละเมอ เล่าเรื่องราวเสียงผ่วเบา ทำให้โรบินสัน และกิ่งคำปายพลอยนั่งด้วย รวมทั้งจิงโจ้แม่ลูกอ่อนต่างนั่งลงฟังเธอเล่าถึงดินแดนแห่งดรีมไทม์ไปด้วย เจ้าคำปลิวในร่างวอมแบตเท่านั้นที่เดิน ๆ ดม ๆ เหมือนนักสำรวจตรวจตราไปรอบ ๆ ลานหิน
“ผู้เฒ่าผู้แก่ของเราเล่าว่าในครั้งบรรพกาลนานโพ้น พื้นโลกนั้นราบเรียบ และว่างเปล่า หม่นมัว ไม่มีภูเขาไม่มีแม่น้ำ ไม่มีพืชสัตว์ ไม่มีแม้แสงตะวันและดวงดาว ต่อมาในยุคแห่งดรีมไทม์ทุกสิ่งจึงถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเทพผู้สร้างทั้งหลาย แม้แต่ปู่ฟ้าบรรพบุรุษของเราก็ถูกสร้างขึ้นในยุคนั้น ที่นั่น ดินแดนที่มีหมู่ดาวเรียงรายอยู่นั้น ไม่เคยมีใครในเผ่าที่ขึ้นมาเห็นหรอกนอกจากข้าและตัมบู”
ร่างที่นิ่งเป็นรูปสลักของตัมบูค่อย ๆ หันมาและเล่าเสริมเด็กสาวผู้เป็นทั้งลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนรักของเขาว่า
“ใช่แล้ว ณ ที่แห่งนี้ บนยอดเขานี้เป็นถิ่นต้องห้ามของชาวเผ่ามาเคอจูลาของเรา ป่าไม้รอบภูเขาถือเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งผาหิน และถ้ำที่มีอยู่ด้วย ถ้ามีคนรู้ว่าเราบุกเข้ามาเราจะต้องได้รับโทษอย่างใหญ่หลวงทีเดียว”
“แล้วเธอสองคนขึ้นมาพบเห็นที่นี่ได้อย่างไร” กิ่งคำปายเอ่ยถาม
“เพราะเราชอบท่องไปในที่ห่างไกลบ่อย ๆ ในยามออกหาอาหารกับแม่ และพี่ป้า น้า อา ทั้งหลายของเรานั่นแหละ เรามักหลบเข้าป่าลึก ๆ บางครั้งเราติดตามสัตว์พวกวอลล่าบี จิงโจ้ พอสส่อม หรือนกอีมูเข้ามา และตัมบูนั่นแหละเขาปีนหน้าผาทางด้านโน้นขึ้นมาเพื่อหาไข่นก เราจึงได้พบที่แสนสวยแห่งนี้ ในยามกลางวันเราจะเห็นมีบางอย่างเปล่งสีสันวับแวมอยู่ใต้สีเขียวของป่าไม้ แทนแสงแห่งดวงดาวที่วับแวมแซมฟ้าอยู่นั้น”
“จริงหรือ” โรบินสันถามขึ้นทันควัน
“ใช่มันสวยงามน่าดูมากเลยแหละ”
“งั้นเรามาดูอีกทีในช่วงกลางวันกันได้ไหม”
โรบินสันคิดว่าเขาน่าจะหาทางลงไปจากภูเขานี้ และเดินไปถึงที่นั่นได้ เมื่อเพ่งพิศดวงดาวที่เรียงรายอยู่วิบวิบนั้นแล้วเขาเกิดความอยากรู้ ว่าหมู่ดาวในดินแดนแห่งดรีมไทม์ของ
มามิริคืออะไรกันแน่ จะต้องเป็นสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง และอาจเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีมนุษย์ในโลกที่เขาจากมาก็ได้ หากว่าในเวลากลางวันมันมีบางสิ่งสะท้อนแสงออกมาให้เห็นดังว่า เขาคาดเดาว่ามันก็อาจเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างโรงงาน อาคารบ้านเรือนของเมือง หรือหมู่บ้านชาวนา ชาวเหมือง ชาวประมงก็ได้ ความหวังที่จะได้กลับสู่โลกภายนอกมีประกายแวมขึ้นมาในจิตใจของหนุ่มฝรั่งหน้าแขกทันที
“คงต้องดูก่อน”
สองหนุ่มสาวไม่แน่ใจนักว่าจะพาแขกของเผ่าหลบสายตาใครต่อใครออกมาได้ไหม
“แล้วตอนนี้ล่ะเราขึ้นมาถึงนี่ได้ เพราะมีบางอย่างพาเรามา ผืนผ้าแพรที่รองรับเราลอยล่องมานั้นหายไปไหนแล้ว”
โรบินสันเพิ่งนึกได้ มามิริมองตัมบู เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า แล้วทุกคนก็มามองกิ่งคำปายเด็กสาวชาวไทยที่แกล้งเหม่อมองท้องฟ้าแล้วทำท่าอ้าปากหาว ราวกับไม่ได้ยินคำพูด ที่แสดงข้อสงสัยของใคร ๆ แต่เพื่อนของเธอนางจิงโจ้แม่ลูกอ่อนกลับอดไว้ไม่ได้ นางส่งเสียงแหลมสูงช่วยตอบคำถามด้วยความภาคภูมิใจขึ้นว่า
“ก็ยายทวดไงพามา”
“ยายทวดหรือ ยายทวดที่ไหนล่ะ”
โรบินสันโผกอดนางจิงโจ้แม่ลูก แล้วละล่ำละลักถาม รู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนิ่มจนลืมตัวกอดแน่นเข้า จนลูกน้อยในกระเป๋าหน้าท้องของโมบายทำเสียงออดแอดอย่างอึดอัดเขาจึงได้คลายอ้อมกอด
“เรื่องมันยาวค่ะโรบินสัน”
เสียงราบเนินนาบของกิ่งคำปายเพื่อนร่วมชะตากรรมคนเดียวของเขาดังขึ้น ราวกับเป็นผู้ใหญ่พูดกับเด็กไร้เดียงสากระนั้น
“มันยากที่คุณจะเชื่อว่ายายทวดของฉัน เจ้านางคำปลิวแห่งนครจำปาศักดิ์ก็มากับเราด้วย และอยู่กับเราตลอกเวลา” หยุดจ้องมองหน้าเขานิดหนึ่งก่อนเน้นคำหนักแน่นว่า “แต่คุณต้องเชื่อนะคะโรบินสันว่ายายทวดของฉันตอนนี้อยู่ในร่างวอมแบตน้อย และนางจิงโจ้นี้คือเพื่อนของฉันชื่อโมบาย.....”
กิ่งคำปายพูดมาถึงตรงนี้ทำให้ทุกคนมองหาเจ้าวอมแบตจอมซน ซึ่งเคยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่ก็นอนอุตุในอ้อมกอดของเธอ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
“อ้าวแล้ววอมแบตอยู่ที่ไหนน่ะ”
หนุ่มน้อยตัมบูได้สติก่อนเพื่อน เขากระโดลุกขึ้น และมองสำรวจหาวอมแบตน้อย แต่สายตาที่เคยแหลมคมของนักติดตามสัตว์ของเขาตอนนี้พบแต่ความว่างเปล่า
“ยายทวดคะ ไปไหนอีกล่ะนี่”
กิ่งคำปายทิ้งความสงสัยให้อยู่ในสีหน้า ปากอ้า ตาค้างของโรบินสัน กระโดดลุกขึ้นป้องปากเรียกหาพลางกุมจี้ที่ห้อยคอ ตลับเงินอันน้อยยังคงปิดสนิท ตั้งแต่ตกจากเครื่องบินลงมา ยายทวดไม่เคยเข้าพำนักในถิ่นเก่าอีกเลย
“คงไปสำรวจแถบนี้มั้ง อย่าห่วงให้มากนักเลย”
จิงโจ้โมบายบอกอย่างรำคาญ พลางดึงลูกน้อยออกจากกระเป๋าหน้าท้อง โรบินสันมองอย่างงงงัน แล้วยิ่งงงงันจนกลายเป็นใบ้บื้อเมื่อร่างของลูกน้อยของนางจิงโจ้ตัวนั้น กลายเป็นร่างของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เหมือนตุ๊กตาผมดำ และนางแม่ก็อุ้มประคองด้วยสองขาหน้าที่ทำหน้าที่คล้ายแขนมนุษย์
เขากะพริบตาถี่ ๆ เมื่อมองเห็นขาหน้าของจิงโจ้โมบายกลายเป็นแขนจริง ๆ มันกอดรัดเอวเอาลูกน้อยเข้าไว้กับอกที่มีนมให้ลูกดูด เป็นนมของหญิงสาวจริงๆ เหมือนนมของชาวเผ่าทั้งหลายที่ปล่อยเปลือยให้เห็นกันทุกคนนั่นแหละ
“และนางจิงโจ้ก็คือเพื่อนของฉันค่ะ”
กิ่งคำปายก้มลงใกล้และบอกย้ำ ทำให้โรบินสันต้องหลับตาลงชั่วครู่ ถอนหายใจยาวลึกเหมือนจะปรับความรูสึกทั้งมวลอยู่ชั่วครู ครั้นลืมตาขึ้นอีกทีก็เห็นเด็กสาวอีกคนนั่งแทนที่นางจิงโจ้อยู่ เธอผู้นั้นกำลังให้นมลูกโดยเปิดชายเสื้อขึ้นมาให้เห็น ศีรษะเล็ก ๆ มีผมดำสนิทซุกเข้าไปดูดดื่ม
“เธอชื่อโมบายหรือ”
เขาได้ยินเสียงของตัวเองรอดออกมาจากไรฟัน แต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงตอบของเด็กสาวแม่ลูกอ่อน ลูกน้อยของเธอก็ละปากออกจากหัวนมแม่ หันหน้าไปด้านข้างพลางร้องขึ้นว่า “นั่นไงยายทวดกลับมาแล้ว” หันเหความสนใจของเขาออกไป
ในท่ามกลางแสงสลัวรางนั้น ร่างของหญิงสาวในชุดเครื่องแต่งกายแบบลาวเดิมสีเหลืองนวลส่งประกายรัศมีออกมารอบตัวจนมองเห็นใบหน้าผุดผ่อง ยิ้มย่องอย่างใจดีก็ปรากฏขึ้น สไบแพรไหมสีขาวนวลสะบัดพลิ้วในสายลม
“นั่นคือยายทวดของคุณจริง ๆ หรือกิ่งคำปาย”
หนุ่มโรบินสัน พยายามควบคุมตัวเอง และเปล่งเสียงกระซิบถามเบา ๆ เหมือนไม่อยากให้เสียงของตนไปรบกวนทุกคนที่กำลังดื่มด่ำเคลิ้มฝันกับภาพตรงหน้า
“ใช่ซีค่ะ”
กิ่งคำปายตอบเสียงเบาพอกัน แต่ยายทวดในร่างหญิงสาวเปล่งเสียงเย็นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนคลื่นในทะเลยามลมสงบออกมาว่า
“ใช่แล้วโรบินสัน ถ้าคุณเชื่อว่าอย่างนั้นมันก็คือสิ่งที่คุณเชื่อ เหมือนดินแดนที่เห็นอยู่ตรงโน้นไง” พูดพลางร่างงามของเจ้าลาวเดิมก็เยื่องอย่างเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นอ่อน ๆ ของดอกจำปาลาวผสมการระเกด ทุกคนได้แต่นิ่งงัน แม้แต่กิ่งคำปายผู้คุ้นเคยกับยายทวดกว่าใคร ก็พลอยนิ่งไปด้วย
“ดินแดนที่ดวงดาวพริบพรายในสายตานั้น มันคือสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันเป็น มามิริกับตัมบู เขาเชื่อว่ามันเป็นอีกภพหนึ่งในช่วงเวลาแห่งดรีมไทม์ มันก็คือภพนั้นในความเชื่อของเขา มันไม่ห่างกันนักหรอกระหว่างความจริงกับความฝัน ระหว่างยุคปัจจุบันกับดรีมไทม์ จิงโจ้และวอมแบตก็พูดได้ถ้าคุณเชื่อ”
จบคำพูดแล้วร่างแสนสวยนั้นก็หายวับไป เหลือแต่วอมแบตน้อยที่หมอบนิ่งเหมือนง่วงงุนเต็มที่
ท่ามกลางความอ่อนโยนของสายลม มีเสียงเหมือนคนเป่าแคนดังขึ้นแว่ว ๆ แผ่ว ๆ ในตอนแรกแล้วค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
เสียงแคนดังเป็นเพลงพลิ้วทำนอง “ลมพัดพร้าว” จังหวะเนิบช้าเหมือนทางมะพร้าวส่ายไหวยามต้องลมอ่อนโอนแกว่งไกว
ลมเอยพัดออน พัดเอากลิ่นหอมแห่งราตรีกาล
พัดมาเนิ่นนาน
ผ่านคืน สู่วัน ผ่านภาพฝัน สู่ห้วงดวงใจ
๐๐๐๐๐๐๐๐