Incredible อินเดีย
“เอื้อยนาง”
๖.ไกด์ผี ไมตรีจิตร มิตรน้อย ๆ และสะทูป้า บ้านนางสุชาดา
ไกลออกไปสุดสายตา ณ ปลายทุ่งเขียวขจีคือยอดเขาเป็นเงาเลือนรางในม่านฟ้า
“โน่นแน่ะคือภูเขาดงคสิริที่พระพุทธเจ้าของเราครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแสวงหาความหลุดพ้นได้ใช้เป็นที่พักพิง ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าก็เคยอยู่ด้วย”
พระครูปลัดสมศักดิ์ ฐิตสีโลหนึ่งในผู้รู้ และเป็นผู้คอยห่วงใยชาวคณะบางคนที่ล่าช้าขาประจำ(อย่างเอื้อยนาง)ชี้บอก นับเป็นโชคดี ที่ในคณะมีครูบา-อาจารย์ผู้รู้หลายท่านมาด้วย จึงได้ทั้งความรู้และกุศลไปพร้อม แม้บางสิ่งยังไม่กระจ่างด้วยหนทางและระยะเวลาเป็นอุปสรรคก็ยังได้จดจำมาค้นคว้าต่อในภายหลัง
ตรงหน้า เมื่อก้าวเท้าลงจากรถที่คนขับหน้าเข้มนัยน์ตายิ้มพามาจอด คือ กองฟางที่เห็นแล้วตกใจ
“กองฟาง หรือภูเขากันนะเนี่ย”
เราตะโกนถามตนเอง(ในใจ)เมื่อมองเห็น “ลอมข้าว” และ “กองฟาง” สูง ๆ หลายกองติดกันเป็นเทือกเขาตรงหน้า ผู้หญิงกับเด็ก ๆ หลายคนกำลังทำงานอยู่(ดูเหมือนเป็นการนวดข้าว หรือฝัดข้าว) ต่างหยุดมือหันมามองกลุ่มคนที่มากับรถคันโต เขาคงไม่แปลกใจ เพราะสถานที่นี้กลายเป็นโบราณสถานที่ชาวพุทธมาเยือนเป็นประจำ แต่เขาก็คงอดสนใจไม่ได้
เห็นผู้คนในลักษณะนักท่องเที่ยวแสวงธรรม เก็บเกี่ยวบุญในชุดเหลือง ๆ ขาว ๆ แบบนี้เด็ก ๆ หลายคนก็เดินมารุมล้อมเปล่งวาจาโดยอัตโนมัติว่า “สวัสดี อาจารย์...ๆ ๆ” พลางแบมือและเดินตามเป็นพรวน ฉันสาวเท้ายาว ๆ ไปเก็บภาพ
ซ้ายมือคือภูเขาลอมฟางที่กองอยู่ชายทุ่งสีเขียว วัวหลายตัวนอน ๆ ยืน ๆ เคี้ยว ๆ ไม่สนใจผู้คน ส่วนขวามือคือสถูปโบราณก่อด้วยอิฐกองโตดูเป็นภูเขาย่อม ๆ เช่นกัน
ภูเขาลอมฟางคือผลิตผลเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของชาวชุมชน ส่วนภูเขาอิฐโบราณคือสถานหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนาที่ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาเช่นกับศาสนสถานแหล่งอื่น ๆ ในอินเดียเหนือถึงเนปาลปัจจุบัน
เชื่อกันว่าที่นี่เคยเป็นเคหาสถานบ้านของ “เสนิยกุฎุมพี” เศรษฐีแห่งอุรุเวลาเสนานิคม บิดานางสุชาดาเมื่อครั้งพุทธกาลนานกว่า ๒๕๐๐ มาแล้ว ช่วงหนึ่งเคยทลายลงจมดิน เป็นที่เลี้ยงแพะของชาวบ้าน และได้รับการรื้อฟื้นขุดแต่งขึ้นมาใหม่ดังเช่นพุทธสถานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในพุทธประวัติ
นางสุชาดาผู้ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระองค์ดังได้กล่าวแล้วในตอนที่แล้ว ภูเขาอิฐลักษณะเป็นวงกลมรัศมี ๓๐ เมตร บ้านเกิดของนางกลายเป็นโบราณสถานที่เราดูไม่ออกว่าลักษณะอาคารที่สมบูรณ์จะเป็นอย่างไร มีบางด้านที่ก่ออิฐลดหลั่นคล้ายเป็นขั้นบันได บางด้านก่อยื่นออกไปคล้ายจะเป็นส่วนระเบียง หรืออาคารย่อย
ฉันแหงนเงยดูภูเขาอิฐพยายามจินตนาการถึงบ้าน วัง ของชาวอินเดียที่เคยเห็นในภาพยนตร์แขกสมัยก่อน ที่มักมีต้นเสากลม ๆ ใหญ่โตมากมาย มีห้องโถงโอ่อ่า มีสวนร่มรื่นสวยงามให้นางเอกพระเอกวิ่งหลบลดเลี้ยวระหว่างต้นเสา และต้นไม้ในสวนพลางร้องเพลงเสียงแจ้วผสานเสียงกลองแขกจังหวะสนุก แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็เป็นเพียงภูเขาอิฐ รายล้อมด้วยทุ่งกว้าง สวนผัก ชุมชน และโรงเรียน
“อาจารย์ อาจารย์...ทางโน้น...”
เด็กชายวัยรุ่นหน้าเข้ม ๆ ตาใส ๆ ท่าทางอารมณ์ดีคนหนึ่งที่คงเดินตามฉันมาแต่แรกบอกเตือนพลางชี้มือไปที่ชาวคณะซึ่งกำลังสวดมนตร์อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาอิฐ
“ขอบใจนะจ๊ะ”
ฉันเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษเพราะพูดอินเดียไม่ได้ เขายิ้มให้พลางชี้มือด้วยความหวังดี กลัวฉันจะพลาดโอกาสไม่ได้สวดมนตร์ในสถานที่สำคัญแห่งนี้
“ครับ” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม พลางเดินตามมาเงียบ ๆ
เสร็จกิจแล้วเป็นการถ่ายรูปหมู่ตามธรรมเนียม ก่อนที่พระอาจารย์ท่านวิทยากรจะพาเดินชมพลางบรรยายถึงความเป็นมาเป็นไปของสถานที่ ฉันแยกตัวออกไปเก็บภาพต้นตาล
“ที่นี่คือ สุชาดา สะทูป้า”
มีเสียงดังอยู่ข้างหลัง หันมองก็พบรอยยิ้มจากใบหน้าของเจ้าคนเดิมนั่นอีก
“แล้วโน่นอะไร”
“โรงเรียน” เขาบอกอย่างกระตือรือร้น
“เธอเรียนที่นั่นเหรอ” ฉันสนใจขึ้นมาทันที อาจเพราะความที่เคยเป็นครูของฉันก็ได้
“ใช่ครับ ผมเรียนที่นั่น น้องผมก็เรียนที่นั่น พี่ผมก็เรียนที่นั่น มีคนไทยมาให้ทุนนักเรียนที่นั่นด้วย” เขาพูดอังกฤษคล่องแคล่วกว่าฉันอีก
“แล้วใครสอนภาษาอังกฤษให้ พูดเก่งนี่”
“ครู” แหงละฉันมองหน้าแล้วอยากหัวเราะ แต่ก็เพียงยิ้มกว้าง
“ครูชาวอังกฤษเหรอ”
“ครูอินเดีย...ที่โน่นมีสวนผักด้วยผมจะพาไปดู”
ฉันเดินตามเขาไปดูแปลงผักที่อยู่ติดกับรั้วของโบราณสถานอีกด้านหนึ่ง
“สวนผักของเด็กนักเรียนเหรอ”
“ไมใช่ เป็นของ...” เขาเอ่ยชื่อใครบางคนเจ้าของสวนผัก
“ที่โน่นทุ่งนา ตรงโน้นคือ...” ดูเขาอยากบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เสียเหลือเกิน ซึ่งตรงกับความต้องการของฉันพอดี ฉันจึงเดินตามเขาไปเก็บภาพ
“ประเทศไทยอยู่ตรงไหน” จู่ ๆ เขาก็โยนคำถามกลับมา ฉันงงเพราะไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร ด้วยตัวเองก็ไม่รู้ละตอนนี้ จึงได้แต่ชี้มือไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แล้วหัวเราะแหะ ๆ เขาหัวเราะบ้างและว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
คนอื่น ๆ ไปขึ้นรถกันหมดแล้ว นอกจากพระรูปหนึ่งที่คงคอย ๆ อยู่ด้วยห่วงใย มองท่านด้วยความขอบคุณแล้วรีบไปขึ้นรถ ก่อนหันมาบอกลามิตรน้อย ๆ
“แล้วพบกันใหม่ ซี ยู ”
เขาว่าตามหลัง และยังอ้อมมาโบกมือให้ที่ข้างหน้าต่าง ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางเด็กอื่น ๆ ที่ตามขอเงิน ฉันจึงนึกได้ว่าไม่ได้ให้เงินเขา รู้สึกเสียใจแต่รถก็เคลื่อนที่ออกเสียแล้วมุ่งหน้าไปที่สถานที่ต่อไปคือต้นไทรที่นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้
ขณะรถวิ่งอ้อมมาในชุมชนมีขบวนแห่ศพอยู่ข้างหน้ารถจึงติดอยู่เป็นครู่ เราพยายามชะเง้อชะแง้ แลดูขบวนดังกล่าวสายตาจึงไปปะทะกับใบหน้ายิ้ม ๆ นัยน์ตาเข้ม ๆ ของเด็กชายหน้าเดิมเข้าอีก เขายิ้มให้พลางโบกมือแล้วเดินดุ่มไปข้างหน้า
“เขาจะไปไหนของเขานะ”
ฉันได้แต่ถามตนเองในใจ เก็บความสงสัยเอาไว้ เพราะไม่มีใครตอบได้ รอจนรถเคลื่อนที่แล้วเลี้ยวซ้าย ขบวนแห่ศพนั้นมุ่งตรงลงไปในหาดทรายริมฝั่งเนรัญชรา คุณกิตติชัยไกด์อินเดีย-ไทยบอกว่าเขาจะเผาศพตามหาดทรายนั่นเอง
“ถึงแล้วครับต้นไทร เราจะอยู่ที่นี่ยี่สิบนาทีนะครับ” ทัวร์เป็นคณะเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับคนอย่างฉัน แค่สองวันแรกก็รู้ตัวแล้ว
“อาจารย์...ทางนี้...”
ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถก็มีเสียงคุ้น ๆ ดังขึ้นข้าง ๆ
“อ้าว...เธอน่ะเอง...พบกันอีกแล้วนะ มาได้ไง เดินเร็วนี่...”
เขาไม่ตอบแต่ชี้ชวนไปดูต้นไทรใหญ่ริมถนนด้านตรงกันข้ามกับแม่น้ำที่รถมาจอดอยู่ ซึ่งต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นไม่ใช่เพียงมีความสำคัญของชาวพุทธเท่านั้น แต่ชาวชุมชนซึ่งเป็นฮินดูก็ให้ความสำคัญเช่นกัน สังเกตได้จากสิ่งที่อยู่รอบด้านมีร่องรอยการประกอบพิธีกรรม เครื่องบูชา ดอกไม้ ธูป เทียน ภาชนะ รูปเคารพที่โคนต้นไม้นี้ และอาคารเล็ก ๆ ด้านหน้าที่มีรูปเคารพอยู่ภายใน แสดงถึงความเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชมชน อีกทั้งมิตรน้อย ๆ ของฉันพามาแนะนำแล้วไม่กล้าเข้าใกล้ อย่างให้ความเคารพเกรงกลัวสถานที่
เทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งของเขาอาจอยู่ที่นี่ ฉันอยากรู้ อยากถามเอาความจากเขา แต่คำถามคงมากมายเกินไปสำหรับช่วงเวลาเท่านี้ จึงได้แต่ขอบใจและบอกลา คราวนี้ฉันไม่ลืมให้เงินเขาทั้ง ๆ เขาไม่ได้ขอ มีแต่รอยยิ้มซื่อ ๆ แสดงความจริงใจ
การให้เงินอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนักที่มิตรจะให้มิตร แต่ในสถานการณ์นั้นฉันไม่รู้ว่าจะให้อะไรได้ดีไปกว่านั้น
๐๐๐๐๐