http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 07/08/2024
สถิติผู้เข้าชม14,277,129
Page Views16,603,781
« September 2024»
SMTWTFS
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930     
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

บ้านทุ่งแสนสุขตอน18.ลานนวดข้าว โดย มณีดิน

บ้านทุ่งแสนสุขตอน18.ลานนวดข้าว โดย มณีดิน

บ้านทุ่งแสนสุข

ตอน18.ลานนวดข้าว

โดย มณีดิน

              น้ำแห้งขอดคลองเหลือเพียงน้ำขังเพียงเข่าเป็นหย่อมๆ หย่อมไหนท้องคลองลึกก็มีน้ำมากกว่าเข่า แต่ส่วนใหญ่แล้วแทบไม่มีน้ำ สีน้ำที่กำลังแห้งขอดคลองขุ่นๆ ไม่น่าตักมาอาบและใช้เอาเสียเลย เหมือนน้ำขี้โคลนตม ทั้งๆที่มันคือน้ำที่เหลืออยู่ตามธรรมชาติ ผมเดินไปดูบ่อโจนที่แห้งกรัง เดินเลาะไปตามตลิ่งคลองที่ยังมีผักบุ้งผักปอด(ผักตบชวา)หลงเหลืออยู่ประปราย คิดไม่ตกจะทำยังไงกันดีกับน้ำสีขุ่นๆ  เรือลากข้าวลำสุดท้ายผ่านไปเมื่อสี่วันก่อน ลากไปกองเป็นกองใหญ่อยู่ท้ายหมู่บ้านอันเป็นลานนวดข้าวเก่าแก่ของป้าจำปี

               กองข้าวถมสูงขึ้นไปทีละชั้นๆจนสูงยิ่งกว่าต้นมะข้ามเทศข้างรั้ว กองใหญ่กว่าเด็กๆ 8-9 ขวบอย่างพวกผมจะปีนไหว ผมได้แต่นึกในใจ พวกผู้ใหญ่นี่เขาเก่งกันเสียจริง คนหนึ่งอยู่ระดับหนึ่ง อีกคนปีนขึ้นไปยืนอยู่บนสุดของกองข้าว ตาคนที่อยู่ติดพื้นดินใช้หลาวแทงฟ่อนข้าวแล้วก็เหวี่ยงขึ้นไปที่ตาคนที่ยินรออยู่กลางๆกอง แล้วแกก็ส่งข้าวต่อไปให้ตาคนที่อยู่สูงกว่าด้วยหลาวเหวี่ยง หนักและเหนื่อย เหงื่อไคลไหลย้อยไปทั้งตัว กล้ามแขนขึ้นเป็นลูกๆ

              ข้าวกองอยู่บนลาน อันเป็นลานที่เคยใช้กันมาทุกปีๆ แต่ก่อนที่จะขนข้าวมากอง ผมก็ดอดมาดูกับเขาด้วย ที่แท้เขาก็ใช้ขี้โคลนผสมกับขี้ควายแล้วก็ย่ำรวมจนเหลวแป้ด เหม็นหึ่ง พี่ราญคนเทลานใช้ถังน้ำโกยใส่ลงไปบนลานดิน แล้วก็ละเลงด้วยมือบ้าง เท้าบ้าง จนขี้ควายผสมดินเลนเกลี่ยไปทั่วลาน ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเพราะอยากรู้อยากเห็น พี่าราญก็แกล้งสลัดขี้ควายยาลานใส่จนต้องกระโดดหนี แต่ก็ไม่วายถูกป้ายเข้าเต็มแก้ม เมื่อแกย่องมาล้างมือใกล้ๆ

              “พี่ราญ ทำไมต้องใช้ขี้ควายผสมกับเลนละ เหม็นจะตาย” ผมถามพ่อไอ้เสริมคนเทลานนวด   

              “ขี้ควายมีเศษหญ้าเยอะเหมือนเป็นเส้นใย เมื่อผสมกับดินเลนมันจึงเหนียวได้ระดับหนึ่ง พอเทลงไปแล้วกวาดด้วยมือให้ละเลงไปทั่วลานดิน เนื้อดินผสมกับเลนและขี้ควายจึงกลายเป็นดินเคลือบให้ลานราบเรียบ ปราศจากเศษดินและก้อนกรวด เมื่อนวดข้าวเม็ดข้าวก็จะกองอยู่บนดินลาน เข้าใจไหม”

             “แล้วทำไม ไม่ใช้อย่างอื่นแทนขี้ควายล่ะ” ผมยังสงสัย

                “แล้วมึงจะให้ใช้อะไรแทนล่ะ ขี้มึงกองนิดเดียวเหม็นยิ่งกว่าขี้ควาย หรือจะเอาขี้หมากองเท่านี้นะ” พร้อมกับทำมือจู๋  แล้วก็พูดต่อว่า “เมื่อไรจะพอเททั้งลาน ขี้ควายหาง่ายได้ปริมาณเยอะ ซักมากไอ้นี่ เดี๋ยว...”  

              แล้วก็ทำท่าว่าจะหยิบขี้ควายมาป้ายใส่ให้อีก ผมพะงะแล้วเผ่นไปจนพ้นทาง พี่ราญหัวเราะตามหลังเสียงดัง

                 พอลานนวดแห้ง ทั้งเรือทั้งเกวียนก็ทยอยขนข้าวฟ่อนมาส่งให้กอง จนถึงวันนี้ที่กองข้าวสูงตระหง่านอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเป็นเด็กตัวเล็กๆแหงนคอตั้งบ่าจึงเห็นว่ามันสูงกว่าปลายมะขามเทศข้างๆเสียอีก  พี่ราญบอกว่าต้องรอให้ลานนวดข้าวแห้งสนิทก่อนจึงจะลงมือนวดข้าวได้
อีกสักสองแดดก็คงจะได้การ แล้ววันที่รอคอยก็มาถึงเมื่อเช้าตรู่ พี่ราญและเจ้าของนาข้าวซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ป้าจำปีของผมเอง เดินมาพร้อมกับสำรับกับเครื่องเซ่นไหว้เจ้าที่

                 ผมกับเสริมตามไปดูการเซ่นเจ้าที่ ป้าจำปีรับธูปสามดอกมาจรดหน้าอก ควันธูปหอมกรุ่นมาถึงพวกเรา ทุกคนก็เลยต้องนั่งพนมมือตาม ป้าจำปีพึมพำเบาๆจนฟังไม่ได้สรรพ แต่สักพักหนึ่งก็ปักธูปไปที่กองดินนูนๆข้างกองข้าวกองใหญ่ยักษ์  ป้าก็เว้นระยะห่างจนไฟปลายก้านธูปไม่ลุกลามไปไหม้กองข้าวได้ ป้าจำปีกราบสามราแล้วก็ลุกขึ้นเดินวนไปรอบๆกองข้าว แหงนมองไปรอบๆ แล้วก็เดินมานั่งอยู่ข้างหน้าเครื่องเซ่น ยิ้มกับปริมาณข้าวฟ่อนกองโต

                เครื่องเซ่นของป้าจำปีนั้นไม่มีอะไรมาก ไก่ตัวหนึ่งพร้อมเครื่องในต้มสุก หมูสามชั้นเสี้ยวหนึ่ง ปลาหมึกแห้งตัวเขื่องตัวหนึ่ง ส้มโอหนึ่งลูกแล้วก็กล้วยน้ำว้าหวีเขื่อง ผมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆป้าจำปี เสริมตามเข้ามาด้วย

                “ไม่ไปโรงเรียนกันหรือวันนี้” ป้าถามเบาๆ

                “วันพระครับป้า โรงเรียนหยุดครับ” ผมตอบ

                “ทำไมป้าต้องมาไหว้เจ้าที่ก่อนนวดข้าวด้วยละครับ” ผมอดใจไม่ไหวอยากรู้

                “มันเป็นความเชื่อที่ทำกันมานานแล้ว ก่อนทำนาก็ทำกันครั้งหนึ่ง ข้าวขึ้นจนจะท้องแล้วก็ทำกันอีกครั้งหนึ่ง เหมือนทำขวัญข้าวยังงั้นแหละ ตอนก่อนเกี่ยวข้าวก็ทำอีก นักเรียนไม่รู้เหรอะ” แล้วป้าก็หัวเราะขำๆ ผมและเสริมส่ายหน้า

                  “หลังเกี่ยวเก็บแล้ว จะนวดข้าวนี่ก็ทำอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย บอกเจ้าที่เจ้าทางเขาหน่อยจะได้สะดวกไปหมด มีบางปีนวดข้าวไม่ได้ครึ่งกองเลย ฝนเทลงมาโครมใหญ่ เสียหายไม่น้อย ต้องหาที่มานั่งตากข้าวจนแห้ง ราคาก็เสียไป  ป้าก็เลยบอกบนบานศาลกล่าวให้นวดข้าวรอดฝนรอดลมได้ข้าวเต็มเม็ดได้ความสะดวกทุกสิ่งทุกอย่าง สาธุ เจ้าพ่อคู้ณ”   แล้วป้าก็ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว ผมกับเสริมก็เลยทำตามไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่พี่ราญ

                  ป้าจำปีลาเครื่องเซ่นแล้วก็เก็บทุกอย่างเตรียมจะขนกลับ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วช่วยยกถาดเครื่องเซ่นเทินหัว เสริมช่วยยกส้มโอลูกใหญ่ พี่ราญช่วยดับธูปจนสนิท ถ้าไม่สนิทเดี๋ยวเกิดลมมากระพือไฟลุกไหม้กองข้าวจะเป็นเรื่อง ทุกคนเดินตามป้าจำปีไปที่บ้านหลังใหญ่ แล้วพวกเราก็เตรียมหันหลังกลับ แต่ได้ยินเสียงป้าเรียกให้หยุด

                  “จะรีบไปไหนล่ะดำเอ้ย เสริม ราญ มาสับไก่แล้วไปยกหม้อข้าวหลังครัวมานั่งกินกับป้า เอาเถอะน่ะ กินข้าวเช้าของเซ่นไหว้กับป้าสักมื้อหนึ่งนะ จะได้โชคดีมีชัย”

                    พูดจบป้าจำปีก็นั่งรอที่ชานบ้าน พี่ราญเดินไปสับไก่ หั่นหมูสามชั้น แล้วก็ขยอกน้ำปลาใส่ถ้วย ทุบกระเทียมและหอมแดงแล้วใส่น้ำส้มสายชูลงมาด้วย โรยน้ำตาลทรายนิดๆ แถมด้วยโขลกตะไคร้หั่นฝอยขยิกๆ ชั่วครู่เดียวก็ได้น้ำจิ้มไก่ต้มสุกและหมูสามชั้นต้มสุก

                      “ราญเว้ย ขาดพริกนี่มึง” ป้าจำปีร้องเสียงหลง พี่ราญลนลานไปโขลกพริกขี้หนูสดมาผสมด่วนจี๋ ทีนี้แหละ ป้าจิ้มแล้วร้องซีด “อร่อยว่ะ  กินๆกัน ของไหว้เจ้าที่เฮงๆๆ”

                     ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจไปร่วมพิธีเซ่นไหว้หรอก ผมเดินไปหาเสริม กะว่าจะชวนกันไปสุ่มปลาในคลอง แต่มาเจอเรื่องนี้เข้า ก็เลยเลยตามเลย ได้ช่วยป้าจำปีประกอบพิธีไหว้เจ้าที่ด้วย ได้บุญแถมยังได้กินข้าวกับป้าของผมเมื่อตอนมื้อเช้าวันพระซะอีกด้วย บุญพาวาสนาปากจริงๆเชียว

                     เช้าวันรุ่งขึ้น พี่ราญหาควายมาคู่หนึ่ง เข้าแอกเตรียมให้นวดข้าว พี่สายทำหน้าที่เป็นคนใช้ปฏักคอยสงข้าวให้โหย่งๆ เม็ดข้าวก็จะร่วงหล่นไปบนลานขี้ควาย พี่ราญถือบั้งเหียนควายพร้อมด้วยไม้เรียวเล่มยาว เมื่อเริ่มการนวด พี่ราญไปขนข้าวฟ่อนออกมาตั้งเรียง แล้วถอดเชือกฟางที่มัดฟ่อนออก เหวี่ยงไปข้างๆลาน  

                     เสียงหื่ยๆๆ ดังขึ้น ทันใดควายก็เดินขึ้นเหยียบกองข้าวดังสวบ ผมนึกในใจเม็ดข้าวคงร่วงพรุ น้ำหนักเท้าควายที่ย่ำหนักใช่ย่อยที่ไหนกัน การนวดข้าวด้วยควายในสมัยนั้นนวดกันทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ได้เร่งร้อน นวดไปเรื่อยๆ พอเห็นว่าคนเหนื่อยก็พักเปลี่ยนผลัดให้อีกคนหนึ่งถือบั้งเหียนนวดต่อ  แต่พอเห็นว่าควายเหนื่อยแล้วไม่พักเดี๋ยวเป็นเรื่อง คนพัก ควายก็พัก ต่างก็มีหัวใจเหมือนกัน  

                     สีสันของการนวดข้าวมิใช่หมดไปฟ่อนแล้วฟ่อนเล่า หากแต่อยู่ที่การนวดข้าวตอนกลางคืนนี่แหละเป็นเสน่ห์เหลือหลาย ประทับใจผมไม่ลืมเลือน เมื่อเดือนเลื่อนขึ้นส่องท้องฟ้าอำไพ พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงสีนวลใยให้กระจ่างพร่างพราวไปทั่วทุ่ง แสงไฟจากกองไฟที่ก่อไว้ให้ควันไล่ยุงนั้นอยู่ห่างๆตา แต่เงาที่ทาบทับไปกับควายที่เดินนวดข้ามแล้วมีคนเดินตาม มันทาบไปบนกองฟางข้างๆอย่างกับฉายหนังการ์ตูน

                     ที่สำคัญ หนุ่มสาวบ้านใกล้ไถลออกมาร่วมวงไพบูลย์ เหมือนมาดูมหกรรมสักงานหนึ่ง เหมือนมีลิเกสักโรง ค่ำคืนอันแสนเงียบเหงาและกล่าวได้ว่าบางคืนช่างวังเวงนักนั้น ค่ำคืนนี้มีลานนวดข้าวป้าจำปีเป็นสีสัน แสงไฟและแสงจันทร์ช่วยกันผสานให้งามนัก หนุ่มสาวในบ้านออกมานั่งล้อมวงพูดคุยกัน ใครอยากนวดก็เข้าไปเปลี่ยน ใครอยากนั่งเคียงสาวคนไหนก็เดินเลาะไปนั่งข้างๆได้ ในที่สาธารณะ ในที่เปิดเผย ไม่มีอะไรลี้ลับ เห็นหน้ากันจะจะ ไหนเลยจะหลบไปหลังกองข้าวกันได้เล่า

                     ทุกปีที่ลานนวดข้าวป้าจำปี ก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาออกมาร่วมวงเสวนากันไป  เหมือนจะว่าลงแขกก็ไม่ใช่ แต่เป็นลานนวดข้าวที่ให้ความสำราญ เป็นสถานที่หนึ่งที่คลายความเงียบเหงา แน่นอนว่าเมื่อหนุ่มพบสาวย่อมเกิดการเกี้ยวพาราสีกันบ้าง ไอ้หนุ่มโรงสีก็มีมาหลายคน ไอ้หนุ่มบ้านเหนือก็มากันอยู่ มานั่งล้อมวงลานนวดข้าวแล้วก็หยอกเย้ากันไปบ้าง ไม่มากไม่น้อย ดังว่าลานนวดข้าวป้าจำปีคือเวทีแห่งเสรีภาพที่จะได้พบเจอหน้ากันในยามค่ำคืน

                      เสียงเจ๊ย้งลูกสาวป้าจำปีดังลั่น “เอ้า  คืนนี้มีต้มถั่วเขียวมาเลี้ยง “ พร้อมกันนั้นก็ยกหม้อใบเขื่องและถ้วยชาม  ยิ้มกันทั่วทุกตัวคน

Tags : บ้านทุ่งแสนสุขตอน 16.

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view